เมนู

ทุกข์ เสื่อมหมดแล้ว (จากสมบัติ ) ย่อมไปสู่อำนาจ
แห่งมัจจุราช พระอริยบุคคลเหล่าใดแล ไม่ประมาท
ทั้งกลางคืนและกลางวัน ย่อมละรูปอันเป็นที่รักเสีย
ได้ พระอริยบุคคลเหล่านั้นแล ย่อมขุดขึ้นได้ซึ่ง
อามิสแห่งมัจจุราช อันเป็นมูลแห่งวัฏทุกข์ที่ล่วงได้
โดยยาก.

จบเอกปุตตสูตรที่ 7

อรรถกถาเอกปุตตสูตร



เอกปุตตสูตรที่ 7 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า เอกปุตฺตโก แปลว่า บุตรคนหนึ่ง ก็บุตรนั้นชื่อว่า เอก-
ปุตตกะ เพราะอรรถว่าอันเขาอนุเคราะห์, ชื่อว่าปิยะ เพราะอรรถว่าอันเขา
รักใคร่. ชื่อว่ามนาปะ เพราะอรรถว่าเป็นที่เจริญใจ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า
ปิยะ เพราะอรรถว่าน่าชม เพราะสมบูรณ์ด้วยความงามแห่งร่างกาย, ชื่อว่า
มนาปะ เพราะเป็นผู้มีกัลยาณธรรม เพราะสมบูรณ์ด้วยศีลและอาจาระ.
ชื่อว่า กาละ เพราะทำสัตว์ให้สิ้นไป ได้แก่ มรณะ. ชื่อว่า กาลังกตะ
เพราะทำคือถึงกาละนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า กาลังกตะ เพราะกาละ
คือมัจจุทำแล้วคือพินาศไปแล้ว ได้แก่ถึงความไม่เห็น อธิบายว่า ตาย.
บทว่า สนฺพหุลา อุปาสภา ความว่า อุบาสกชาวเมืองสาวัตถีเป็น
อันมาก ไปตามหลังอุบาสกผู้ที่ลูกตายจนถึงป่าช้า พร้อมด้วยความโศก
ให้ทำฌาปนกิจศพแล้วก็กลับ ลงน้ำทั้งที่นุ่งห่มอยู่นั่นแหละ ดำหัว บีบผ้า

ยังไม่ทันจะแห้งเลย นุ่งผืนหนึ่ง ทำเฉวียงบ่าผืนหนึ่ง ให้อุบาสกนั้นนำ
หน้า คิดจะฟังธรรมอันเป็นเหตุบรรเทาความโศกในสำนักพระศาสดา จึง
เข้าไปเฝ้าพระศาสดา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า อลฺลเกสา
มีผมชุ่มน้ำ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลฺลวตฺถา แปลว่า มีผ้าชุ่มด้วยน้ำ.
บทว่า ทิวา ทิวสฺส แปลว่า เป็นเวลากลางวัน อธิบายว่า เวลาเที่ยงวัน.
เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย ทรงทราบตรัสถามก็มี ทรงทราบไม่
ตรัสถามก็มี. ทรงรู้เวลา ตรัสถาม ทรงรู้เวลาไม่ตรัสถามก็มี. เพราะ
ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอยู่ทีเดียว เมื่อจะตรัสถามเพื่อตั้ง
เรื่องขึ้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า กึ นุ โข ตุมฺเห อุปาสกา ดูก่อนอุบาสก
ทั้งหลาย เพราะเหตุไรหนอ พวกท่าน ดังนี้.
พระดำรัสนั้นมีความหมายดังนี้ว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ในวัน
อื่น ๆ พวกเธอเมื่อมายังสำนักของเรา นุ่งผ้าแห้งและสะอาดมาในเวลาเย็น
แต่วันนี้ มีผ้าเปียก ผมเปียกมาในที่นี้เวลาเที่ยงตรง นั้นเป็นเหตุอะไร.
บทว่า เตน มยํ ความว่า เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นอย่างนั้น
เพราะถูกความโศกอย่างแรงครอบงำ เพราะความเดือดร้อนจิตอันเกิดจาก
การพลัดพรากจากบุตร จึงได้มาเฝ้าในที่นี้.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทฺตฺวา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ
โดยประการทั้งปวงถึงเรื่องนี้ว่า สภาวธรรมมีโศก ทุกข์ และโทมนัส
เป็นต้น มีวัตถุเป็นที่รักเป็นแดนเกิด เมื่อวัตถุอันเป็นที่รักไม่มี ความ
โศกเป็นต้นเหล่านั้น ย่อมไม่มีโดยประการทั้งปวง จึงทรงเปล่งอุทานนี้
อันประกาศความนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปิยรูปสาตคธิตาเส ความว่า ติด
คือมีจิตปฏิพัทธ์ในสภาวะอันเป็นที่รักมีรูปขันธ์เป็นต้น ด้วยความยินดีใน
สุขเวทนา. ก็บทว่า คธิตาเส หมายเอา คธิตา นั่นเอง. อีกอย่างหนึ่ง
ศัพท์ว่า เส เป็นเพียงนิบาต. จักขุประสาทเป็นต้น และปิยชนมีบุตร
และภรรยาเป็นต้น ชื่อว่า ปิยรูป. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า อะไร
เป็นปิยรูป สาตรูป ในโลก คือ จักขุเป็นปิยรูป สาตรูปในโลก ฯลฯ
ธรรมตัณหาเป็นปิยรูป สาตรูป ในโลก และว่า
นระใดติดข้องกามเป็นอันมาก คือ นา สวน เงิน
โค ม้า ทาสหญิงชาย ผู้หญิง และพวกพ้อง.

เพราะเหตุนั้น ผู้ติด สยบ อธิบายว่า ถูกต้องด้วยความยินดีใน
ปิยรูปเหล่านั้น. เพื่อจะเฉลยคำถามว่า ชนเหล่านั้น คือเหล่าไหน ผู้ติด
อยู่ในปิยรูปและสาตรูป จึงทรงแสดงชนเหล่านั้นว่า เทวกายา ปุถุมนุสฺ-
สา จ หมู่เทพและมนุษย์เป็นอันมาก, ได้แก่หมู่เทพเป็นอันมาก มีเทพ
ชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นต้น และมนุษย์เป็นอันมากมีชาวชมพูทวีปเป็นต้น.
บทว่า อฆาวิโน ได้แก่ ผู้มีทุกข์ทางกายและทางใจ. บทว่า ปริชุนฺนา
ได้แก่ ผู้เสื่อมจากสมบัติมีความเป็นหนุ่มสาว และความไม่มีโรคเป็นต้น
เพราะความวิบัติแห่งชราและโรคเป็นต้น. พึงทราบความข้อนั้นตามที่ได้
ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. อีกอย่างหนึ่ง เทวดาทั้งหลายเพียบพร้อม
ด้วยสุขโดยส่วนเดียว ไม่มีทุกข์ ชรา และโรคก็จริง ถึงอย่างนั้น แม้เทวดา
เหล่านั้นท่านก็เรียกว่า ผู้มีทุกข์ และว่าผู้มีความเสื่อม เพราะมีการไม่
จากทุกข์นั้นเป็นสภาวะ. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบความเกิดมีทุกข์เป็นต้น
แม้ของเทวดาเหล่านั้น ด้วยอำนาจการเกิดขึ้นแห่งบุรพนิมิต ปฏิจฉันนชรา

และโรคทางใจ. บทว่า มจฺจุราชสฺส วสํ คจฺฉนฺติ ความว่า ชนเหล่านั้น
ไปสู่อำนาจ คือมือแห่งความตาย กล่าวคือมัจจุราช เพราะมีธาตุ 3 เป็น
ใหญ่ เหตุจะเกิดในครรภ์บ่อย ๆ เพราะยังละตัณหา ซึ่งมีปิยวัตถุเป็น
อารมณ์ไม่ได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงวัฏฏะด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล้ว
บัดนี้จึงแสดงวิวัฏฏะ (นิพพาน) โดยนัยมีอาทิว่า เย เว ทิวา ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เย เว ทิวา จ รตฺโต จ อปฺปมตฺตา
ความว่า คนผู้ไม่ประมาทอย่างมั่นคง ย่อมบำเพ็ญอัปปมาทปฏิปทาทั้ง
กลางวันและกลางคืน โดยนัยดังกล่าวแล้วมีอาทิว่า ชำระจิตให้หมดจด
จากธรรมอันเป็นเครื่องกางกั้น โดยการจงกรม และการนั่งตลอดวัน.
บทว่า ชหนฺติ ปิยรูปํ ความว่า ให้ขวนขวายกรรมฐานภาวนาอันสัมป-
ยุตด้วยสัจจะ 4 ละปิยรูป คือปิยวัตถุ มีจักขุประสาทเป็นต้น อันเกิด
จากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก ด้วยการละฉันทราคะอันเนื่องกับปิยรูป
นั้น เพราะบรรลุพระอริยมรรค. บทว่า เต เว ขณนฺติ อฆมูลํ มจฺจุโน
อามิสํ ทุรติวตฺตํ
ความว่า พระอริยบุคคลเหล่านั้นใช้จอบ คืออริยมรรค
ญาณขุดตัณหาพร้อมกับอวิชชา อันเป็นมูลรากแห่งทุกข์ คือวัฏทุกข์
ชื่อว่าเป็นอามิส เพราะมัจจุคือมรณะจับต้อง ชื่อว่าล่วงได้ยาก เพราะ
สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งนอกจากศาสนานี้ ไม่อาจกลับได้ คือ
ถอนรากขึ้นไม่ให้เหลือแม้แต่สิ่งเล็กน้อย ความนี้นั้น พึงให้พิสดารโดย
สุตตบทมีอาทิว่า
อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ปมาโท มจฺจุโน ปทํ
อปฺปมตฺตา น มียนฺติ เย ปมตฺตา ยถา มตา.

ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตาย ความ
ประมาท เป็นทางแห่งความตาย คนผู้ไม่ประมาท
ชื่อว่าย่อมไม่ตาย คนประมาทเหมือนคนตายแล้วแล.
จบอรรถกถาเอกปุตตสูตรที่ 7

8. สุปปวาสาสูตร



ว่าด้วยทุกข์ของหญิงตั้งครรภ์นาน



[59] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่ากุณฑิฐานวัน* ใกล้
พระนครกุณฑิยา ก็สมัยนั้นแล พระนางสุปปวาสาพระธิดาของพระเจ้า
โกลิยะทรงครรภ์อยู่ถึง 7 ปี มีครรภ์หลงอยู่ถึง 7 วัน พระนางสุปปวาสา
นั้น ผู้อันทุกขเวทนากล้าเผ็ดร้อนถูกต้องแล้วทรงอดกลั้นได้ด้วยการตรึก
3 ข้อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นตรัสรู้ด้วยพระองค์โดยชอบหนอ
ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อละทุกข์เห็นปานนี้ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มี-
พระภาคเจ้าพระองค์นั้น ปฏิบัติดีแล้วหนอ ปฏิบัติเพื่อละทุกข์เห็นปานนี้
นิพพานซึ่งเป็นที่ไม่มีทุกข์เห็นปานนี้เป็นสุขดีหนอ.
[60] ครั้งนั้นแล พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดาเชิญพระสวามีมาว่า
เชิญมานี่เถิด พระลูกเจ้า ขอเชิญพระองค์เสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นแล้ว ทรงถวายบังคมพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า
ตามคำของหม่อมฉัน จงทูลถามถึงความเป็นผู้มีพระอาพาธน้อย พระโรค
* บางฉบับเป็น กุณฑธานวัน.