เมนู

อรรถกถาคัพภินีสูตร


คัพภินีสูตรที่ 6 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อญฺญตรสฺส ปริพฺพาชกสฺส ได้แก่ ของกุฎุมพีปริพาชก
ผู้หนึ่ง. บทว่า ทหรา แปลว่า เป็นสาว. บทว่า มาณวิกา เป็นโวหาร
เรียกธิดาของพราหมณ์. บทว่า ปชาปตี แปลว่า ภรรยา. บทว่า คพฺภินี
แปลว่า ผู้มีครรภ์. บทว่า อุปวิชญฺญา เชื่อมความว่า เป็นผู้มีเวลาจะ
ตลอดปรากฏว่า วันนี้ พรุ่งนี้. ได้ยินว่า ปริพาชกนั้นเป็นชาติพราหมณ์
มีภรรยา ตั้งอยู่ที่อาศรม ชื่อวาทปัตถะ เพราะเหตุนั้น คนจึงเรียกเขาผู้มี
ภรรยา โดยโวหารว่า ปริพาชก. ส่วนภรรยาของเขาเรียกว่า พราหมณ์
เพราะมีชาติเป็นพราหมณ์. บทว่า เตลํ ได้แก่ น้ำมันงา. ก็ในข้อนี้ว่า
โดยวัตถุมีน้ำมันเป็นประธาน นางจึงสั่งว่า ท่านจงนำเอาสิ่งที่หญิงผู้จะ
คลอดต้องการเพื่อบำบัดทุกข์ในเวลาคลอดทั้งหมด มีเนยใสและเกลือ
เป็นต้นมา. บทว่า ยํ เม วิชาตาย ภวิสฺสติ ความว่า สิ่งใดมีน้ำมัน
เป็นต้น จักเป็นอุปการะแก่เราผู้มีครรภ์จะคลอดออกไป. ปาฐะว่า
ปริพฺพาชิกาย ดังนี้ก็มี. บทว่า กุโต แปลว่า จากที่ไหน. อธิบายว่า
เราพึงนำน้ำมันเป็นต้นมาจากที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นตระกูลญาติตระกูลมิตร
ที่นั้นไม่มีแก่เรา. บทว่า เตลํ อาหรามิ ท่านกล่าวให้เป็นปัจจุบันกาล
เพราะใกล้กาลอันเป็นปัจจุบัน หมายความว่าจักนำน้ำมันมา. วา ศัพท์ใน
บทว่า สมณสฺส วา ก็ดี พฺราหฺมณสฺส วา ก็ดี สปฺปิสฺส วา ก็ดี เตลสฺส
วา ก็ดี เป็นสมุจจยัตถะ เหมือนในประโยคมีอาทิว่า อคฺคิโต วา อุหกโต
วา มิถุเภทา วา.
บทว่า สปฺปิสฺส วา เตลสฺส วา เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้
ในอรรถปฐมาวิภัตติ. อธิบายว่า เนยใสและน้ำมันอันเขาให้ดื่มเท่าที่

ต้องการ. ส่วนอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า บทว่า สปฺปิสฺส วา เตลสฺส
วา
เป็นฉัฏฐีวิภัตติใช้ในอรรถว่า ส่วนย่อยและสิ่งที่มีส่วนย่อย จริง
อย่างนั้น ส่วนย่อยของกลุ่มเนยใสและน้ำมัน ในที่นี้ท่านเรียกโดยศัพท์
เท่าที่ต้องการ. บทว่า โน นีหริตุํ ความว่า เขาไม่ให้ใช้ภาชนะหรือมือ
นำออกไปข้างนอก. บทว่า อุจฺฉินฺทิตฺวา ได้แก่ สำรอกออก, เชื่อม
ความว่า ไฉนหนอ เราพึงสำรอกออก. ได้ยินว่า ปริพาชกนั้นได้มีความ
คิดอย่างนี้ว่า เราจะไปเรือนคลังของพระราชาดื่มน้ำมันแค่คอ แล้วมา
เรือนในทันทีสำรอกตามที่ดื่มลงไว้ในภาชนะหนึ่ง จักยกขึ้นเตาไฟต้ม สิ่ง
ที่เจือด้วยดีและเสมหะเป็นต้น ไฟจักไหม้ แต่เราจักเอาแต่น้ำมันไปใช้ใน
การงานของนางปริพาชิกานี้.
บทว่า อุทฺธํ กาตุํ ได้แก่ เพื่อนำขึ้นข้างบนโดยจะสำรอกออก.
บทว่า น ปน อโธ ความว่า แต่ไม่อาจเพื่อจะนำออกข้างล่างด้วยการถ่าย
ออก. จริงอยู่ ปริพาชกนั้นดื่มด้วยคิดว่า จักสำรอกสิ่งที่เราดื่มเข้าไป
มาก ๆออกจากปากเสียเอง เมื่อสิ่งที่ดื่มเข้าไปไม่ออกมา เพราะไม่เป็น
ประโยชน์แก่กระเพาะ ไม่รู้หรือไม่ได้สั่งที่ควรจะสำรอกและถ่ายออกได้
ได้รับทุกขเวทนาอย่างเดียว จึงหมุนไปหมุนมา. บทว่า ทุกฺขาหิ แปลว่า
มีทุกข์. บทว่า ติปฺปาหิ ได้แก่ มาก หรือแรงกล้า. บทว่า ขราหิ
ได้แก่ กล้าแข็ง. บทว่า กฏุกาหิ ได้แก่ ทารุณ เพราะเป็นของไม่น่า
ปรารถนาอย่างยิ่ง. บทว่า อาวฏฺฏติ ความว่า เมื่อไม่นอนอยู่ในที่เดียว
พาร่างของตนไปข้างโน้นข้างนี้ ชื่อว่าหมุนไป. บทว่า ปริวฏฺฏติ ความว่า
แม้นอนอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่อสลัดอวัยวะน้อยใหญ่ไปรอบ ๆ ชื่อว่าหมุน

ไปรอบ. อีกอย่างหนึ่ง เมื่อหมุนไปตรงหน้า ชื่อว่าหมุนไป เมื่อหมุน
ไปรอบๆ ชื่อว่าหมุนไปรอบ.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ครั้นทรงทราบโดยประการ
ทั้งปวงถึงความนี้ว่า ความเกิดทุกข์อันนี้ เหตุเพราะบริโภคโดยไม่พิจารณา
ของคนผู้มีกิเลสเครื่องกังวล มีอยู่ แต่สำหรับคนไม่มีกิเลสเครื่องกังวล
ย่อมไม่มีทุกข์นี้โดยประการทั้งปวง ดังนี้ แล้วจึงทรงเปล่งอุทานนี้ อัน
ประกาศความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขิโน วต ความว่า สัตบุรุษทั้งหลาย
มีความสุขหนอ. ถามว่า ก็สัตบุรุษเหล่านั้น คือพวกไหน ? ตอบว่า คือ
พวกที่ไม่มีกิเลสเครื่องกังวลที่ชื่อว่า อกิญจนะ เพราะไม่มีกิเลสเครื่อง
กังวลมีราคะเป็นต้น และกิเลสเครื่องกังวลในสิ่งที่หวงแหน พระองค์
จึงตรัสว่า เวทคุโน หิ ชนา อกิญฺจนา พวกชนผู้ถึงเวท ไม่มีกิเลส
เครื่องกังวล. บุคคลผู้ชื่อว่า เวทคู เพราะถึง คือบรรลุเวท กล่าวคือ
อริยมรรคญาณ หรือถึงคือบรรลุพระนิพพานด้วยเวทนั้น. อริยชนเหล่านั้น
คือบุคคลผู้สิ้นอาสวะ ชื่อว่าอกิญจนะ เพราะตัดกิเลสเครื่องกังวลมีราคะ
เป็นต้นได้เด็ดขาด ด้วยอรหัตมรรค. ก็เมื่อกิเลสเครื่องกังวลมีราคะเป็นต้น
ไม่มี กิเลสเครื่องกังวลในสิ่งที่หวงแหน จักมีแต่ที่ไหน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงสรรเสริญบุคคลผู้เป็นพระอรหันต์ ด้วย
บุรพภาคแห่งคาถาอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงติเตียนอันธปุถุชน ด้วยอปรภาค
แห่งคาถา จึงตรัสคำมีอาทิว่า สกิญูจนํ ปสฺส คำนั้นมีอรรถดังกล่าวไว้

แล้วในสูตรแรกนั่นแหละ ด้วยคาถาแม้นี้ พระองค์ตรัสทั้งวัฏฏะและวิวัฏฏะ
ดังพรรณนามาฉะนี้.
จบอรรถกถาคัพภินีสูตรที่ 6

7. เอกปุตตสูตร



ว่าด้วยการขุดอามิสแห่งมัจจุราช



[58] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล บุตรคน
เดียวของอุบาสกคนหนึ่ง เป็นที่รัก เป็นที่พอใจ ทำกาละแล้ว ครั้งนั้นแล
อุบาสกมากด้วยกันมีผ้าชุ่ม มีผมเปียก เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่
ประทับในเวลาเที่ยง ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้ตรัสถามอุบาสกเหล่านั้นว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ท่าน
ทั้งหลายมีผ้าชุ่ม มีผมเปียก เข้ามาในที่นี้ ในเวลาเที่ยง เพราะเหตุไรหนอ
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามอย่างนี้แล้ว อุบาสกนั้นได้กราบทูลว่า ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้า บุตรคนเดียวของข้าพระองค์ ผู้เป็นที่รักเป็นที่พอใจ
ทำกาละแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายจึงมีผ้าชุ่ม มีผมเปียก
เข้ามาในที่นี้ในเวลาเที่ยง.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
หมู่เทวดาและหมู่มนุษย์เป็นจำนวนมาก ยินดี
แล้วด้วยความเพลิดเพลินชินในรูปอันเป็นที่รัก ถึงความ