เมนู

ท่านทั้งหลาย ผู้อันสุขและทุกข์ถูกต้องแล้วใน
บ้าน ในป่า ไม่ตั้งสุขและทุกข์นั้นจากตน ไม่ตั้งสุข
และทุกข์นั้นจากผู้อื่น ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้อง
เพราะอาศัยอุปธิ ผัสสะทั้งหลายพึงถูกต้องนิพพาน
อันไม่มีอุปธิเพราะเหตุไรเล่า.

จบสักการสูตรที่ 4

อรรถกถาสักการสูตร



สักการสูตรที่ 4 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า เตน โข ปน สมเยน ภควา สกฺกโต โหติ ความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์สักการะด้วยเครื่องสักการะ
เป็นต้นอันเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น อันเป็นผลแห่งบุญสมภารและคุณวิเศษที่พระ-
องค์บำเพ็ญมา 4 อสังไขยกำไรแสนกัป ประหนึ่งเกิดความอุตสาหะขึ้นว่า
เบื้องหน้าแต่นี้ เราไม่มีโอกาส. จริงอยู่ บารมีทั้งปวงเป็นเหมือนประมวล
กันว่าจักให้วิบากในอัตภาพเดียว จึงบันดาลห้วงน้ำใหญ่คือลาภสักการะ
ให้บังเกิดแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนเมฆใหญ่เป็นคู่ ๆ ตั้งขึ้นทุกทิศ
ทำให้เกิดห้วงน้ำใหญ่ ฉะนั้น. แต่นั้น กษัตริย์และพราหมณ์เป็นต้นต่าง
ถือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้เป็นต้นมา
แสวงหาพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้
เป็นเทพแห่งเทพ พระผู้องอาจในหมู่ชน พระผู้ประหนึ่งราชสีห์ในหมู่ชน
ประทับอยู่ที่ไหน จึงเอาเกวียนร้อยเล่มบรรทุกปัจจัยมา เมื่อยังไม่ได้

โอกาสจึงเอาทบเกวียนกับทูบเกวียนจดกันแม้ในที่ประมาณคาวุตหนึ่ง
โดยรอบพักอยู่และติดตามไป เหมือนอันธกพราหมณ์และวินทพราหมณ์
เป็นต้น. คำทั้งหมดนั้นพึงทราบโดยนัยที่มาในขันธกะและในสูตรนั้น ๆ
เกิดแก่ภิกษุสงฆ์เหมือนเกิดแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล. สมจริงดังที่ตรัส
ไว้ว่า ดูก่อนจุนทะ บัดนี้สงฆ์หรือคณะมีประมาณเท่าใดเกิดในโลกแล้ว
ดูก่อนจุนทะ เราไม่มองเห็นสงฆ์หมู่อื่นเเม้หมู่เดียวผู้ถึงความเลิศด้วยลาภ
และยศอย่างนี้ เหมือนภิกษุสงฆ์นั้น จุนทะ ลาภสักการะนี้นั้นเกิดแก่
พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ หาประมาณมิได้เหมือนห้วงน้ำของแม่น้ำ
ใหญ่ 2 สายรวมเป็นสายเดียวกัน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็สมัย
นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าอันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายสักการะแล้ว ฯลฯ
ทรงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แม้ภิกษุ-
สงฆ์ก็เป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายสักการะแล้ว ฯลฯ ได้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร.
ฝ่ายเดียรถีย์ทั้งหลาย อันใคร ๆ ไม่สักการะไม่เคารพ เพราะเป็นผู้
ไม่ได้ทำบุญไว้ในปางก่อนและเป็นผู้ปฏิบัติผิด ว่าโดยพิเศษทางพุทธุป-
บาทกาล เป็นผู้มีความงามวิบัติ หมดรัศมีหมดเดชเสื่อมลาภสักการะเช่นนั้นของ
หิ่งห้อยในยามพระอาทิตย์ขึ้น. พวกเขาอดกลั้นลาภสักการะเช่นนั้นของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ไม่ได้ ถูกความริษยาครอบงำจึงริษยาว่า
เราจักด่ากระทบพวกเหล่านี้ด้วยผรุสวาจาอย่างนี้แล้วไล่ให้หนีไป ทำการ
ริษยาเป็นข้าศึก เที่ยวด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายในที่นั้น ๆ. ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า ส่วนพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกใคร ฯ ไม่สักการะ ฯลฯ
ไม่ได้จีวรบิณฑบาตเสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ครั้นนั้นแล

พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกไม่อดทนสักการะของพระผู้มีพระภาคเจ้า
และภิกษุสงฆ์ เห็นภิกษุทั้งหลายในบ้านหรือในป่า ใช้ผรุสวาจาอัน
มิใช่ของสัตบุรุษด่าบริภาษเกรี้ยวกราดเบียดเบียน ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสพฺภาหิ ความว่า ด้วยผรุสวาจาอัน
ไม่สมควรในสภา คือไม่ควรกล่าวในที่ชุมนุมสาธุชนในที่ประชุม อธิบาย
ว่า ด้วยวาจาชั่วหยาบ. บทว่า ผรุสาหิ ได้แก่ ด้วยวาจาหยาบ คือตัด
เสียซึ่งความรัก. บทว่า อกฺโกสนฺติ ได้แก่ ด่าด้วยอักโกสวัตถุมีชาติ
เป็นต้น. บทว่า ปริภาสนฺติ ได้แก่ คุกคามให้เกิดความกลัว ด้วยความ
ทะเลาะ. บทว่า โรเสนฺติ ความว่า ให้เกิดความเกรี้ยวกราดโดยตามกำจัด
เหมือนเกรี้ยวกราดแก่คนอื่น. บทว่า วิเหเสนฺติ ความว่า ย่อมเบียดเบียน
คือทำความไม่สบายใจโดยอาการต่าง ๆ. ถามว่า ก็อย่างไร พวกเหล่านี้
จึงพากันทำการด่าเป็นต้น ให้เกิดขึ้นพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ผู้
เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสรอบด้าน. ตอบว่า พวกเหล่านั้น เป็นผู้มีจิต
ถูกกระทบกระทั่งเพราะตนเสื่อมลาภสักการะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าอุบัติ
ขึ้น จึงนัดแนะกะนางสุนทริกาปริพาชิกา ให้นางประกาศโทษของพระ-
ศาสดาและภิกษุทั้งหลายแล้วจึงทำการด่าเป็นต้น เหมือนคนขุดดินพลาด
ล้มไป และเหมือนคนทำตำหนิให้เกิดในแก้วไพฑูรย์ที่ไม่มีตำหนิ ฉะนั้น.
ก็เรื่องแห่งนางสุนทริกาปริพาชิกานี้นั้นจักมีแจ้งในบาลีในสุนทริกาสูตร
ข้างหน้านั่นแล. เพราะเหตุนั้น คำที่ควรกล่าวในที่นี้ ข้าพเจ้าจักพรรณนา
ในสุนทริกาสูตรนั้นนั่นแหละ. ภิกษุทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วกราบทูลเรื่องนั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล
ภิกษุเป็นอันมากเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯ ลฯ เบียด-
เบียนอยู่. คำนั้นมีอรรถดังกล่าวแล้วนั่นแล.

บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบโดยประการทั้งปวง
ถึงการปฏิบัติผิดนี้ของพวกเดียรถีย์ผู้ถูกความริษยาครอบงำ. บทว่า อิมํ
อุทานํ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้อันแสดงถึงความเป็นผู้คงที่ในประการ
อันผิดที่พวกเดียรถีย์เหล่านั้นกระทำ และในอุปการะที่ชนเหล่าอื่นผู้มีจิต
เลื่อมใสกระทำ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คาเม อรญฺเญ สุขทุกฺขผฏฺโฐ ความ
ว่า ผู้ถูกสุขและทุกข์สัมผัสแล้ว คือเสวยสุขและทุกข์ในที่ใดที่หนึ่งไม่ว่าจะ
เป็นบ้านหรือป่า หรือพรั่งพร้อมด้วยเหตุแห่งสุขและทุกข์เหล่านั้น. บท
ว่า เนวตฺตโต โน ปรโต หเหถ ความว่า พวกท่านอย่าตั้งสุขและทุกข์
นั้นทั้งจากตนทั้งจากผู้อื่นเลยว่า เรา ได้รับสุข ได้รับทุกข์, สุขของเรา
ทุกข์ของเรา และว่าสุขทุกข์นี้คนอื่นให้เกิดแก่เรา. ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะในขันธปัญจกนี้ ไม่มีสิ่งอะไร ๆ ที่ควรจะเห็นว่าเป็นเรา
ว่าเป็นของเรา ว่าเป็นคนอื่น หรือว่าเป็นของคนอื่น แต่เฉพาะสังขาร
อย่างเดียวเท่านั้นเกิดขึ้นตามปัจจัยแล้วแตกไปทุก ๆ ขณะ. ก็ในที่นี้ ศัพท์
ว่า สุขและทุกข์เป็นยอดเทศนา. พึงทราบอรรถแห่งโลกธรรมแม้ทั้งหมด.
ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงประกาศสุญญตะอันมีเงื่อน 4
คือ ข้อว่า นาหํ กฺวจนิ พระโยคาวจรนี้ไม่เห็นตัวตนมีอยู่ในที่ไหน ๆ 1
ข้อว่า กสฺสจิ กิญฺจนตสฺมึ ไม่เห็นตัวตนของตนที่จะพึงนำเข้าไปใน
ความเป็นอะไร ๆ ของใคร ๆ 1 ข้อว่า น จ มม กฺวจนิ ไม่เห็นตัวตน
ของตนในที่ไหน ๆ 1 ข้อว่า กตฺถจิ กิญฺจนตตฺถิ ไม่เห็นตัวตนของผู้
อื่นที่มีอยู่ในที่ไหน ๆ 1 บัดนี้ พระองค์ทรงแสดงเหตุแห่งความไม่ตั้งมั่น
จากตนและจากคนอื่นนั้น.

บทว่า ผุสนฺติ ผสฺสา อุปธึ ปฏิจฺจ ความว่า ขึ้นชื่อว่า ผัสสะ
อันเป็นเครื่องอำนวยสุขและอำนวยทุกข์นี้อาศัยอุปธิกล่าวคือขันธปัญจก
ย่อมถูกต้องอารมณ์ตามที่เป็นของตนในเมื่ออุปธินั้นมีอยู่ คือเป็นไปใน
อุปธินั้นเอง. จริงอยู่ อทุกขมสุขเวทนาสงเคราะห์เข้าในสุขเหมือนกัน
เพราะมีสภาวะสงบ. เพราะฉะนั้น ท่านจึงพรรณนาอรรถนี้ โดยผัสสะ 2
อย่างนั้นเอง. ก็เพื่อแสดงประการที่ผัสสะเหล่านั้นไม่ถูกต้อง ท่านจึง
กล่าวว่า นิรูปธึ เกน ผุเสยฺยุํ ผสฺสา ผัสสะพึงถูกต้องธรรมที่ไม่มีอุปธิ
เพราะเหตุไร. จริงอยู่ เมื่ออุปธิคือขันธ์ไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ
เหตุไรเล่า ผัสสะเหล่านั้นจึงพึงถูกต้อง, เพราะว่าเหตุนั้นไม่มี. ก็ถ้าว่า
ท่านทั้งหลายไม่ปรารถนาสุขและทุกข์อันเกิดเพราะการด่าเป็นต้นไซร้ พวก
ท่านพึงกระทำความพากเพียรในความไม่มีอุปธิโดยประการทั้งปวงนั้น
แหละ. คาถาได้จบลงด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. ตรัสวัฏฏะและวิวัฏฏะ
ด้วยอุทานนี้ ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาสักการสูตรที่ 4

5. อุปาสกสูตร



ว่าด้วยผู้ไม่มีเครื่องกังวลเป็นสุขในโลก



[55] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล อุบาสก
ชาวบ้านอิจฉานังคละคนหนึ่ง เดินทางมาถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ ด้วย