เมนู

มากด้วยกันเอาท่อนไม้ตีงูอยู่ในระหว่างพระนครสาวัตถีและพระวิหารเชต-
วัน ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสก ทรงถือ
บาตรและจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ได้ทอดพระเนตร
เห็นเด็กเหล่านั้นเอาท่อนไม้ตีงูอยู่ในระหว่างพระนครสาวัตถีและพระวิหาร
เชตวัน.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ผู้ใดแสวงหาความสุขเพื่อตน ย่อมเบียดเบียน
สัตว์ทั้งหลาย ผู้ใคร่ความสุขด้วยท่อนไม้ ผู้นั้นย่อม
ไม่ได้ความสุขในโลกหน้า ผู้ใดแสวงหาความสุข
เพื่อตน ย่อมไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายผู้ใคร่ความ
สุขด้วยท่อนไม้ ผู้นั้นย่อมได้ความสุขในโลกหน้า.

จบทัณฑสูตรที่ 3

อรรถกถาทัณฑสูตร



ทัณฑสูตรที่ 3 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
บทว่า กุมารกา ได้แก่ เด็กทั้งหลาย. อันตราศัพท์ ในคำว่า
อนฺตรา จ สาวตฺถึ อนฺตรา จ เชตวนํ นี้ มาในเหตุ ในประโยคมีอาทิ
ว่า ใครจะรู้เหตุนั้น นอกจากตถาคต และว่า ชนทั้งหลาย ประชุม
ปรึกษาถึงเหตุอะไรกะเราและท่าน. มาในขณะ ในประโยคมีอาทิว่า
ท่านผู้เจริญ หญิงคนหนึ่งกำลังล้างภาชนะ ได้เห็นเราในขณะฟ้าแลบ.

มาในจิต ในประโยคมีอาทิว่า ความโกรธเคืองไม่มีจากจิตของผู้ใด. มาใน
ท่ามกลาง ในประโยคมีอาทิว่า ถึงที่สุดในท่ามกลาง. มาในระหว่าง
ในประโยคมีอาทิว่า ภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง แม่น้ำตโปทานี้ ไหล
มาจากระหว่างมหานรกทั้งสอง. แม้ในที่นี้ ศัพท์ว่าอันตรานี้นั้น พึง
ทราบว่าใช้ในระหว่าง เพราะฉะนั้น พึงทราบอรรถในอันตราศัพท์นี้อย่าง
นี้ว่า ในระหว่างกรุงสาวัตถี กับพระเชตวัน. ก็เพราะประกอบด้วย
อันตราศัพท์ ในที่นี้จึงเป็นทุติยาวิภัตติว่า อนฺตรา จ สาวตฺถึ อนฺตรา จ
เชตวนํ
ระหว่างกรุงสาวัตถี และระหว่างพระเชตวันวิหาร. ในที่เช่นนี้
นักคิดอักษรทั้งหลายประกอบอันตราศัพท์ ๆ เดียวเท่านั้นว่า อนฺตรา
คามญฺจ นทิญฺจ คจฺฉติ ไประหว่างบ้านกับระหว่างแม่น้ำ. อันตราศัพท์
เป็นอันต้องประกอบแม้กับบทที่สอง แต่ในที่นี้ท่านประกอบไว้แล้ว.
บทว่า อหึ ทณฺเฑน หนนฺติ ความว่า พวกเด็กติดตามงูเห่าซึ่งได้
รับความหิวกำลังเลื้อยออกจากโพรงไปหากิน ใช้ไม้ตี. ก็สมัยนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี เห็นเด็กเหล่านั้นใน
ระหว่างทางเอาไม้ตีงู จึงตรัสถามว่า เด็ก ๆ ทั้งหลาย เพราะเหตุไร จึง
เอาไม้ตีงูนี้ และเมื่อเด็กกราบทูลว่า เพราะกลัวมันกัด พระเจ้าข้า จึงเกิด
ธรรมสังเวชขึ้นว่า พวกเด็กเหล่านี้คิดจะทำความสุขให้ตน จึงตีงูนี้ จัก
เสวยทุกข์ในที่ที่ตนเกิด โอฉลาดในการโกง เพราะความโง่ ก็เพราะ
เหตุนั้นนั่นแล จึงทรงเปล่งอุทานด้วยธรรมสังเวช. เพราะเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อถ โข ภควา ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า อาจารย์
พวกหนึ่งพรรณนาไว้อย่างนี้ว่า พระองค์ทรงทราบเนื้อความนี้ว่า พวก

เด็กเหล่านี้ ทำความทุกข์ให้แก่ผู้อื่น เพื่อความสุขของตน ตนเองจักไม่
ได้รับความสุขในโลกหน้า. การที่ชนเหล่าอื่นผู้ปฏิบัติชั่วแสวงหาความสุข
ย่อมเป็นไปเพื่อความทุกข์ในอนาคต สำหรับผู้ปฏิบัติดี ย่อมเป็นไปเพื่อ
ความสุขโดยส่วนเดียว เพราะฉะนั้น อาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า พระ-
ศาสดาทรงเปล่งอุทานแม้นี้ โดยทรงโสมนัสว่า ผู้ที่พ้นจากการเบียดเบียน
ผู้อื่น เป็นผู้มีส่วนแห่งความสุขโดยแท้จริงทีเดียว ชื่อว่าเป็นการสนอง
โอวาทของเรา. ฝ่ายอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า พระองค์ทรงทราบการ
เบียดเบียนผู้อื่นที่พวกเด็กเหล่านั้นให้เป็นไปอย่างนี้ โดยมีโทษด้วยประ-
การทั้งปวง จึงทรงเปล่งอุทานนี้อันประกาศโทษ และอานิสงส์ตามลำดับ
ของการเบียดเบียนผู้อื่นและการอนุเคราะห์ผู้อื่น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขกามานิ ได้แก่ ผู้ติดอยู่ในความสุข
เพราะปรารถนาสุขเพื่อตนโดยส่วนเดียวเท่านั้น. บทว่า ภูตานิ แปลว่า
สัตว์ผู้มีปราณทั้งหลาย. บทว่า ทณฺเฑน ในคำว่า โย ทณฺเฑน วิหึสติ
นี้ เป็นเพียงเทศนา อธิบายว่า ด้วยท่อนไม้หรือด้วยเครื่องประหารต่าง ๆ
เช่น ก้อนดิน ศาสตราและการประหารด้วยมือเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า
ทณฺเฑน ได้แก่ด้วยการลงโทษ. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า บุคคลใด
เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวงผู้ใคร่ความสุข ทำให้ลำบาก ให้ได้รับความทุกข์ด้วย
อาญาอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาอาญาเหล่านี้ คือ อาญาทางวาจาเช่นด่า
กระทบชาติเป็นต้น อาญาทางร่างกาย เช่นโบย ตี ตัด เป็นต้น ด้วยมือค้อน
และศาสตราเป็นต้น หรืออาญาทางทรัพย์เช่นปรับไหมร้อยหนึ่งพันหนึ่ง.
บทว่า อตฺตโน สุขเมสาโน เปจฺจ โส น ลภเต สุขํ ความว่า บุคคลนั้นเมื่อ

แสวงหา ค้นคว้า ปรารถนาสุขเพื่อตน ละโลกนี้ไปแล้วย่อมไม่ได้รับความ
สุขทั้ง 3 ประการ คือ มนุษยสุข ทิพยสุข นิพพานสุข ในโลกหน้า โดย
ที่แท้ ย่อมได้รับแต่ความทุกข์ด้วยอาญานั้น.
บทว่า เปจฺจ โส ลภเต สุขํ ความว่า บุคคลใด เพียบพร้อม
ด้วยขันติ เมตตา และความเอ็นดู คิดว่า เราปรารถนาสุข เกลียดทุกข์
ฉันใด แม้สัตว์ทั้งปวงก็ฉันนั้น จึงตั้งอยู่ในสัมปัตติวิรัติเป็นต้น ไม่เบียด
เป็น ไม่ทำสัตว์ทั้งปวงให้ลำบาก ด้วยอาญาอย่างใดอย่างหนึ่งตามนัยที่
กล่าวแล้ว บุคคลนั้น เป็นมนุษย์ในปรโลก ย่อมได้รับสุขของมนุษย์
เป็นเทวดาย่อมได้รับทิพยสุข เมื่อผ่านสุขทั้งสองนั้นไป ย่อมได้รับความ
สุขในพระนิพพาน. ก็ในที่นี้ เพื่อจะแสดงว่า เพราะบุคคลเช่นนั้นได้
อบรมไว้อย่างแน่นอน ความสุขนั้นเป็นประหนึ่งเกิดขึ้นเฉพาะหน้า (เป็น
ปัจจุบัน) ท่านจึงกล่าวว่า ลภเต ดังนี้. แม้ในคาถาต้นก็นัยนี้เหมือนกัน.
จบอรรถกถาทัณฑสูตรที่ 3

4. สักการสูตร



ว่าด้วยการได้สัมผัสพระนิพพาน



[54] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มี-
พระภาคเจ้าเป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ทรง-
ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แม้ภิกษุสงฆ์ก็