เมนู

มีท้องพระคลังมากกว่ากัน มีแว่นแคว้นมากกว่ากัน มีพาหนะมากกว่ากัน
มีกำลังมากกว่ากัน มีฤทธิ์มากกว่ากัน หรือมีอานุภาพมากกว่ากัน ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ การสนทนาในระหว่างของข้าพระองค์ทั้งหลายนี้แล ค้าง
อยู่เพียงนี้ ก็พอดีพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาถึง พระเจ้าข้า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลายพึงกล่าวถ้อยคำ
เห็นปานนี้นั้น ไม่สมควรแก่เธอทั้งหลายผู้เป็นกุลบุตร ออกบวชเป็น
บรรพชิตด้วยศรัทธาเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายประชุมกันแล้ว
ควรทำเหตุสองประการ คือ ธรรมมีกถา หรือดุษณีภาพอันเป็นของ
พระอริยะ.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
กามสุขในโลกและทิพยสุข ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ 16
[ที่จำแนกออก 16 หน] แห่งสุขคือความสิ้นตัณหา.
จบราชสูตรที่ 2

อรรถกถาราชสูตร



ราชสูตรที่ 2 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สมฺพหุลานํ ความว่า โดยสำนวนพระวินัยภิกษุ 3 รูป
เรียกว่า สัมพหุลา, เลยจากนั้น เรียกว่าสงฆ์. แต่โดยสำนวนพระสูตร
3 คนก็คงเรียกว่า 3 คนนั่นเอง ถัดจากนั้น เรียกว่า สัมพหุลา. เพราะ-
ฉะนั้น แม้ในที่นี้ ว่าโดยสำนวนพระสูตรพึงทราบว่า สัมพหุลา. บทว่า
อุปฏฺฐานสาลายํ ได้แก่ ในมณฑปอันเป็นที่ประชุมฟังธรรม. จริงอยู่

ธรรมสภานั้นท่านเรียกว่า อุปัฏฐานศาลา เพราะเป็นที่ที่พวกภิกษุกระทำ
อุปัฏฐากพระตถาคตผู้เสด็จมาแสดงธรรม. อีกอย่างหนึ่ง ศาลาก็ดี มณฑป
ก็ดี ซึ่งเป็นที่ที่เหล่าภิกษุวินิจฉัยวินัยแสดงธรรม ประชุมธรรมสากัจฉา
และเป็นที่เข้าไปประชุมตามปกติโดยการประชุมกัน ท่านก็เรียกว่า อุปัฏ-
ฐานศาลา เหมือนกัน. จริงอยู่ แม้ในที่นั้น ก็เป็นอันพระองค์ทรงบัญญัติ
พระพุทธศาสนาเป็นนิตย์ทีเดียว. จริงอยู่ ข้อนี้เป็นจารีตของเหล่าภิกษุใน
สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่. บทว่า สนฺนิสินฺนานํ ได้แก่ นั่ง
ประชุมโดยการนั่ง. บทว่า สนฺนิปติตานํ ได้แก่ผู้ประชุมกัน โดยมาจาก
ที่นั้นๆ แล้วประชุม. อีกอย่างหนึ่ง ผู้ประชุมโดยมุ่งเอาพระพุทธศาสนา
เป็นหลัก แล้วนั่งประชุมกันโดยเคารพ เพื่อให้เกิดความเอื้อเฟื้อ เหมือน
ประชุมอยู่เฉพาะพระพักตร์พระศาสดา คือ เพราะมีอัธยาศัยเสมอกันจึง
ประชุมตามอัธยาศัยแห่งกันและกัน และด้วยการตกลงกันด้วยดีโดย
ชอบ. ด้วยบทว่า อยํ ท่านแสดงถึงคำที่กำลังกล่าวอยู่ในขณะนี้. บทว่า
อนฺตรากถา ได้แก่ ถ้อยคำอันหนึ่ง คืออย่างหนึ่งในระหว่างกิจ มีมนสิการ-
กรรมฐาน อุเทศ และการสอบถามเป็นต้น, อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า
อันตรากถา เพราะเป็นไปในระหว่างแห่งสุดโตวาทที่ได้ในเวลาเที่ยงวัน
และในระหว่างการฟังธรรมที่จะพึงได้ในเวลาเย็น, อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า
อันตรากถา เพราะเป็นคาถาอย่างหนึ่ง คืออันหนึ่ง ที่เป็นไปในระหว่าง
แห่งสมณสมาจารนั่นเอง. บทว่า อุทปาทิ แปลว่า เกิดขึ้นแล้ว.
บทว่า อิเมสํ ทฺวินฺนํ ราชูนํ เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ในอรรถนิทธารณะ.
ในคำว่า มหทฺธนตโร วา เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ชื่อว่า มีทรัพย์
มาก เพราะผู้นั้นมีทรัพย์มาก กล่าวคือสะสมรัตนะทั้ง 7 ฝังไว้ในแผ่นดิน,

ชื่อว่า ผู้มีทรัพย์มากกว่า เพราะบรรดาราชาทั้งสององค์ องค์นี้มีทรัพย์
อย่างดียิ่ง. วาศัพท์เป็นวิกัปปัตถะ. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน.
ส่วนความแปลกกันมีดังนี้ ชื่อว่า ผู้มีโภคะมาก เพราะผู้นั้นมีโภคะมาก
คือมีเครื่องบริโภคมาก โดยมีทุนทรัพย์เครื่องใช้สอยเป็นนิจ ชื่อว่า มี
คลังมาก เพราะมีคลังมาก โดยมีรายได้เข้าทุกวัน. ส่วนอาจารย์อีกพวก
หนึ่งกล่าวว่า ทรัพย์อันเป็นวัตถุที่หวงแหนอันต่างโดยประเภทแห่งแก้วมณี
ทรัพย์อันเป็นสาระ ทรัพย์อันเกิดจากกระพี้ และทรัพย์อันเกิดจากพุ่มไม้
เป็นต้น อันนำรายได้เข้าทุกวัน ทรัพย์นั่นแหละ เขาเก็บไว้ในห้องอัน
เป็นสาระเป็นต้น ชื่อโกสะ. แก้วมณี 24 อย่าง คือ วชิระ มหานีละ
อินทนิล มรกต ไพฑูรย์ ปทุมราค (ทับทิม) ปุสสราค (บุษราคัม)
กักเกตนะ ผุลากะ วิมละ โลหิตังกะ ผลึก ประพาฬ โชติรส โคมุตตกะ
โคเมทกะ โสคันธิกะ มุกดา สังข์ อัญชนมูละ ราชาวัฏฏะ อมตังสกะ
สัสสกะ และพราหมณี ชื่อว่า มณี. โลหะ 7 ชนิด และกหาปณะ ชื่อว่า
ทรัพย์เป็นสาระ. วัตถุต่าง ๆ มีที่นอน เครื่องนุ่งห่ม และผ้าแดงเป็นต้น
ชื่อว่า เผคคุ. รุกขชาติต่าง ๆ มี ไม้จันทน์ กฤษณา หญ้าฝรั่น กลัมพัก
และการบูรเป็นต้น ชื่อว่า คุมพะ. ในบทเหล่านั้น ด้วยอาทิศัพท์อันเป็น
บทแรก ท่านสงเคราะห์วัตถุทั้งหมดอันเป็นเครื่องอุปโภค บริโภคของ
เหล่าสัตว์ ตั้งต้นแต่ชนิดธัญชาติ อันต่างด้วยบุพพัณชาติ มีข้าวสาลี
เป็นต้น และอปรัณชาติ มีถั่วเขียวและถั่วราชมาษเป็นต้น. ชื่อว่า
มหาวิชิตะ เพราะท่านมีแว่นแคว้นคือประเทศใหญ่. ชื่อว่า มหาวาหนะ
เพราะท่านมีพาหนะมาก มีช้างและม้าเป็นต้น. ชื่อว่า มหัพพละ เพราะ
ท่านมีกำลังกองทัพ และกำลังคือเรี่ยวแรงมาก. ชื่อว่า มหิทธิกะ เพราะ

ท่านมีฤทธิ์มากอันสำเร็จด้วยบุญกรรม กล่าวคือ ความสำเร็จตามที่
ประสงค์. ชื่อว่า มหานุภาวะ เพราะท่านมีอานุภาพมาก กล่าวคือเดช
หรือความอุตสาหะ มีมนต์ ความเป็นใหญ่ และความสามารถ. ก็บรรดา
บทเหล่านั้น ด้วยบทต้น เป็นอันพระราชาเหล่านั้นทรงประกาศอายสัมปทา
(ความสมบูรณ์ด้วยรายได้). ด้วยบทที่ 2 ประกาศถึงความสมบูรณ์ด้วย
เครื่องอุปกรณ์อันวิจิตร. ด้วยบทที่ 3 ประกาศถึงความสมบูรณ์ด้วยทรัพย์
สมบัติ, ด้วยบทที่ 4 ประกาศถึงความสมบูรณ์ด้วยชนบท, ด้วยบทที่ 5
ประกาศถึงความสมบูรณ์ด้วยยานพาหนะ, ด้วยบทที่ 6 ประกาศถึงอัตต-
สมบัติกับบริวารสมบัติ, ด้วยบทที่ 7 ประกาศถึงบุญสมบัติ, ด้วย
บทที่ 8 ประกาศถึงความเป็นผู้มีอำนาจ. เพราะเหตุนั้น ปกติสัมปทา
ที่พระราชาพึงปรารถนาทั้ง 7 อย่าง คือ สามิสมบัติ อำมาตยสมบัติ เสนา-
สมบัติ รัฐสมบัติ วิภวสมบัติ มิตรสมบัติ และทุคตสมบัติ ทั้งหมดนั้น
พึงทราบว่า ท่านแสดงไว้แล้วตามสมควร.
ชื่อว่า ราชา เพราะทำให้บริษัทยินดีด้วยสังคหวัตถุ 4 มีทาน
เป็นต้น. ชื่อว่า มาคโธ เพราะท่านเป็นอิสระของชนชาวมคธ. ชื่อว่า
เสนิโย เพราะประกอบด้วยกองทัพใหญ่ หรือเพราะมีโคตรเนื่องมาจาก
แม่ทัพ. ทองคำท่านเรียกว่า พิมพิ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า พิมพิสาร
เพราะมีสีดังทองอันเป็นสาระ. ส่วนอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า พระ-
ราชานั้นมีชื่ออย่างนั้นแหละ. ชื่อว่า ปเสนทิ เพราะชนะปัจจามิตร คือ
กองทัพอันเป็นปรปักษ์. ชื่อว่า โกสล เพราะเป็นอธิบดีแห่งโกศลรัฐ.
ศัพท์ จรหิ ในบทว่า อยญฺจรหิ นี้ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า วิปฺปกตา
แปลว่า ยังไม่สิ้นสุด, อธิบายว่า อันตรายกถานี้ของภิกษุเหล่านั้นยังไม่จบ.

บทว่า สายณฺหสมยํ คือสมัยหนึ่งในตอนเย็น. บทว่า ปฏิสลฺ-
ลานา วุฏฺฐิโต
ความว่า ออกจากอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้นๆ จากการเก็บจิต
จากผลสมาบัติ กล่าวคือการหลีกเร้น ตามเวลาที่กำหนดไว้.
จริงอยู่ ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้า แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์
เสด็จเข้าไปยังกรุงสาวัตถี เสวยพระกระยาหารที่พวกภิกษุจัดบิณฑบาตที่
ตนได้มาด้วยดีถวาย เสด็จออกจากกรุงสาวัตถีพร้อมด้วยภิกษุทั้งหลายแล้ว
เสด็จเข้าพระวิหาร ประทับยืนที่หน้ามุขพระคันธกุฎี ทรงประทานสุคโต-
วาทตามที่ยกขึ้นแสดงแก่ภิกษุทั้งหลายผู้มายืนอยู่แล้ว เมื่อภิกษุเหล่านั้นไป
ยังที่พักกลางวันมีโคนไม้ในป่าเป็นต้น จึงเสด็จเข้าพระคันธกุฎียับยั้งอยู่
ตลอดวันด้วยสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติ แล้วเสด็จออกจากสมาบัติตามเวลาที่
กำหนดไว้ ทรงพระดำริว่า บริษัท 4 รอคอยเรา เข้าไปนั่งเต็มวิหาร
ทั้งสิ้น บัดนี้ ถึงเวลาที่เราจะเข้าไปยังธรรมสภามณฑล เพื่อแสดงธรรม
ดังนี้ แล้วจึงเสด็จลุกจากอาสนะออกจากพระคันธกุฎีอันหอมตลบ ประ-
ดุจไกรสรราชสีห์ออกจากถ้ำทอง มีพระดำเนินเยื้องกรายสง่างามด้วยพระ-
วรกายอันไม่โยกโคลง เหมือนช้างตัวประเสริฐซึ่งซับมันเข้าสู่โขลง
ฉะนั้น ทรงกระทำวิหารทั้งสิ้นให้มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน ด้วยรูปกาย-
สมบัติอันรุ่งโรจน์ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประดับด้วยอนุพยัญชนะ 80
ประกอบความงามอันแวดล้อมด้วยพระรัศมีด้านละวา ประดับด้วยเกตุมาลา
อันประภัสสร ฉายพระพุทธรัศมีมีพรรณ 6 ประการ คือ เขียว เหลือง
แดง ขาว หงสบาท และประภัสสร มีอานุภาพเป็นอจินไตย ประกอบ
ด้วยพุทธลีลาอันหาที่เปรียบมิได้ เสด็จเข้าไปยังอุฏฐานศาลา. ด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข ภควา ฯ เป ฯ เตนุปสงฺกมิ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นเสด็จเข้าไปอย่างนี้แล้ว ทรงเห็นภิกษุเหล่า-
นั้นนั่งแสดงวัตรเงียบอยู่ ทรงพระดำริว่า เมื่อเราไม่กล่าว ภิกษุเหล่านี้ก็
จักไม่กล่าวแม้ (แต่ความคิด) ตลอดอายุกัป เพราะความเคารพในพระ
พุทธเจ้า เพื่อจะตั้งเรื่องขึ้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า กาย นุตฺถ ภิกฺขเว ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาย นุตฺถ แก้เป็น กตมาย นุ ภวถ
พวกเธอสนทนากันเรื่องอะไรหนอ. บาลีว่า กาย โนตฺถ ดังนี้ก็มี เนื้อ
ความก็อันนั้นเหมือนกัน. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า กาย เนฺตฺถ ดังนี้ก็มี.
บาลีนั้นมีความว่า กตมาย นุ เอตฺถ ในข้อนั้น มีความสังเขปดังต่อไปนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปวารณาด้วยปวารณาของพระสัพพัญญูอย่างนี้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนากันในที่นี้ด้วยเรื่องอะไรหนอ และเรื่อง
ของพวกเธอเป็นไฉนยังไม่จบลง เพราะการมาของเราเป็นเหตุ พวกเธอ
พึงให้เรื่องนั่นจบลงเถิด.
บทว่า น เขฺวตํ ตัดเป็น น โข เอตํ อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็อย่างนี้
เหมือนกัน. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า น โขตํ ดังนี้ก็มี, มีการแยกบทว่า
น โข เอตํ ดังนี้เหมือนกัน. บทว่า กุลปุตฺตานํ ได้แก่ กุลบุตรผู้มี
มารยาทประจำชาติ. บทว่า สทฺธา ได้แก่ ด้วยศรัทธา คือด้วยเชื่อ
กรรมและผลแห่งกรรม และด้วยการเชื่อพระรัตนตรัย. บทว่า อคารสฺมา
แปลว่า จากเรือน อธิบายว่า จากความเป็นคฤหัสถ์. บทว่า อนคาริยํ
แปลว่า การบรรพชา. บทว่า ปพฺพชิตานํ ได้แก่ ผู้เข้าถึง บทว่า ยํ
เป็นกิริยาปรามาส. ในข้อนั้น มีบทโยชนาดังต่อไปนี้ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงปฏิเสธข้อที่ไม่สมควรของบรรพชิตผู้ประชุมกันอย่างนี้ว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย พวกเธอไม่ใช่ถูกพระราชาบังคับ ไม่ใช่ถูกโจรบังคับ ไม่ใช่มี

คดีเพราะเป็นหนี้ ไม่ใช่เพื่อเลี้ยงชีวิตจึงบวช โดยที่แท้ พวกเธอออกจาก
เรือนบวชในศาสนาของเราด้วยศรัทธา บัดนี้ พวกเธอกล่าวเดียรัจฉาน-
กถาอันเกี่ยวด้วยพระราชาเห็นปานนี้ ข้อที่กล่าวเรื่องเห็นปานนั้น ไม่
เหมาะไม่ควรแก่พวกเธอเลย บัดนี้ เมื่อจะทรงอนุญาตข้อปฏิบัติอันสมควร
แก่ภิกษุเหล่านั้น จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย กิจ 2 อย่างที่พวกเธอผู้
ประชุมกันพึงกระทำ คือ กล่าวธรรมีกถา หรือเป็นผู้นิ่งอย่างพระอริยะ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โว แปลว่า ของพวกเธอ. ก็บทว่า โว
นี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถแห่งกัตตุ คือผู้ทำ มุ่งถึงบทว่า กรณียํ เพราะ-
ฉะนั้น บทว่า โว จึงแปลว่า อันเธอทั้งหลาย. บทว่า ทฺวยํ กรณียํ ได้แก่
พึงกระทำ 2 อย่าง. บทว่า ธมฺมีกถา ได้แก่ ถ้อยคำที่ไม่ปราศจาก
ธรรม คือสัจจะ 4 อธิบายว่า ธรรมเทศนาอันแสดงถึงการเป็นไป
(ทุกขสัจ ) และการไม่กลับ (นิโรธสัจ). ก็ธรรมกถา กล่าวคือกถาวัตถุ
10 เป็นเอกเทศของธรรมเทศนานั้นเองแล. บทว่า อริโย ความว่า
ชื่อว่าอริยะ เพราะนำประโยชน์มาอย่างแท้จริง. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอริยะ
เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ คือสูงสุด. บทว่า ตุณฺหิภาโว คือการไม่พูดอันเป็น
ตัวสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา. แต่อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ทุติยฌาน
เป็นความนิ่งอย่างประเสริฐ เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อวจีสังขาร. อาจารย์อีก
พวกหนึ่งกล่าวว่า จตุตถฌานเป็นความนิ่งอย่างประเสริฐ. ก็ในที่นี้มี
อธิบายดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอมีกาย
สงัดอยู่ในสุญญาคารเพื่อพอกพูนจิตวิเวก ถ้าจะประชุมกันบางครั้ง ครั้น
พวกเธอประชุมกันอย่างนี้ พึงให้ธรรมกถาที่เกี่ยวด้วยอนิจจลักษณะเป็น-
ต้น แห่งสภาวธรรมมีขันธ์เป็นต้นเป็นไปโดยเป็นอุปการะแก่กันและกัน

ตามนัยที่กล่าวไว้ว่า ย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง หรือย่อมทำสิ่งที่ได้ฟัง
แล้วให้เข้าใจชัด หรือพึงอยู่ด้วยฌานสมาบัติ เพื่อจะไม่เบียดเบียนกัน
และกัน.
บรรดากรณียะทั้งสองนั้น ด้วยกรณียะแรก ทรงแสดงอุบายอัน
เป็นเหตุหยั่งลงในพระศาสนา สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้หยั่งลง ด้วยกรณียะหลัง
ทรงแสดงอุบายเป็นเครื่องสลัดออกจากสงสาร สำหรับผู้ที่หยั่งลงแล้ว.
หรือด้วยกรณียะแรก ทรงชักชวนในความเป็นผู้เชี่ยวชาญในอาคม (พระ-
สูตร) ด้วยกรณียะหลัง ทรงชักชวนในความเป็นผู้เชี่ยวชาญในอธิคม
(มรรคผลที่จะพึงบรรลุ). อีกอย่างหนึ่ง ด้วยกรณียะที่ 1 ทรงแสดงถึง
เหตุที่สัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นครั้งที่หนึ่ง ด้วยกรณียะที่ 2 ทรงแสดงถึงเหตุที่
สัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นครั้งที่สอง สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย เหตุ 2 ประการ ปัจจัย 2 ประการ
เหล่านี้ เป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ คือ
การได้ยินได้ฟังจากผู้อื่น 1 การกระทำไว้ในใจโดย
แยบคายเฉพาะตน 1.

อีกอย่างหนึ่ง ด้วยกรณียะแรก ทรงประกาศมูลเหตุแห่งสัมมาทิฏฐิ
ฝ่ายโลกิยะ, ด้วยกรณียะหลัง ทรงแสดงถึงมูลเหตุแห่งสัมมาทิฏฐิฝ่าย
โลกุตระ พึงทราบอรรถโยชนา โดยนัยมีอาทิดังกล่าวมาฉะนี้.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบโดยประการทั้งปวง
ถึงความนี้ว่า สมบัติมีฌานเป็นต้น ยังสงบกว่าและประณีตกว่า สมบัติ
ที่น่าใคร่อันภิกษุเหล่านั้นระบุถึง. บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า ทรงเปล่ง
อุทานอันแสดงอานุภาพของสุขอันเกิดแต่อริยวิหารนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า โลก ในบทว่า ยญฺจ กามสุขํ โลเก
นี้ มาในสังขาร มีอาทิว่า ขันธโลก อายตนโลก ธาตุโลก. มาในโอกาส
มีอาทิว่า พระจันทร์และพระอาทิตย์หมุนเวียนส่องทิศให้สว่างไสวอยู่
ตราบใด โอกาสโลก 1,000 ย่อมเป็นไปอยู่ตราบนั้น อำนาจของท่าน
ยังเป็นไปอยู่ในโอกาสโลกนี้. มาในสัตว์ทั้งหลาย มีอาทิว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นแล้วแล. แต่ในที่นี้
พึงทราบศัพท์ว่า โลก ในความหมายว่าสัตวโลก และโอกาสโลก.
เพราะฉะนั้น ในโลกนี้ภายใต้จำเดิมแต่อเวจีขึ้นไป เบื้องบน จำเดิมแต่
รูปพรหมโลกลงมา สุขชื่อว่าเกิดพร้อมด้วยกาม เพราะอาศัยวัตถุกาม
เกิดขึ้นด้วยกิเลสกาม. บทว่า ยญฺจิทํ ทิวิยํ สุขํ ความว่า สุขอันเป็นทิพย์
และสุขอันเกิดจากรูปสมาบัติของพรหมและของมนุษย์ อันได้ด้วยทิพย-
วิหารนี้ใด. บทว่า ตณฺหกฺขยสุขสฺส ความว่า สุขอันเกิดจากผลสมาบัติ
ที่เป็นไปเพราะกระทำพระนิพพานซึ่งตัณหามาถึงแล้วสิ้นไปให้เป็นอารมณ์
และเพราะสงบระงับตัณหาเสียได้ ชื่อว่าสุขอันเกิดจากความสิ้นตัณหา.
แห่งสุขอันเกิดจากความสิ้นตัณหานั้น. บทว่า เอเต เป็นบทแสดงไข
ลิงควิปลาส. อธิบายว่า เอตานิ สุขานิ สุขเหล่านี้. อาจารย์บางพวกยึด
สุขแม้ทั้งสองโดยเป็นสุขสามัญทั่วไป แล้วกล่าวว่า เอตํ. พึงมีปาฐะของ
เกจิอาจารย์เหล่านั้นว่า กลํ นาคฺฆนฺติ.
บทว่า โสฬสึ แปลว่า เป็นที่เต็มของ 16 ส่วน. ก็ในข้อนี้ มี
ความสังเขปดังต่อไปนี้.
กามสุขที่เกิดในกามโลกทั้ง 11 ประการ คือ สุขของมนุษย์ในมนุษย-
โลกทั้งหมดตั้งต้นแต่สุขของพระเจ้าจักรพรรดิ สุขอันนาคเป็นต้น พึง

เสวยในโลกนาคและครุฑเป็นต้น และกามสุข 6 อย่าง ในเทวโลกมีชั้น
จาตุมหาราชิกาเป็นต้น, และสุขอันเกิดแต่โลกิยฌานซึ่งได้นามว่า ทิวิยํ
(ในทิพย์) เพราะเกิดในเทพชั้นรูปาวจรและอรูปาวจร และในรูปฌานและ
อรูปฌานที่เป็นทิพยวิหาร แม้สุขทั้งสิ้นทั้งสองอย่างนั้นก็ยังไม่ถึงเสี้ยว
กล่าวคือส่วนหนึ่งที่ได้ในการคูณให้เป็น 16 ส่วน (เอาเพียง) ส่วนเดียว
จาก 16 ส่วนนั้น โดยแบ่งสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติ กล่าวคือสุขอันเกิด
แต่ความสิ้นตัณหาให้เป็น 16 ส่วน.
ก็การพรรณนาอรรถนี้ ท่านกล่าวไว้โดยความเสมอกันแห่งผล-
สมาบัติ เพราะธรรมเป็นที่สิ้นตัณหามาในพระบาลีโดยไม่แปลกกัน. โลกิย-
สุขไม่ถึงเสี้ยวแม้แห่งสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติที่หนึ่งเลย สมจริงดังคำที่ท่าน
กล่าวไว้ว่า
โสดาปัตติผลประเสริฐกว่าความเป็นเอกราชในแผ่นดิน กว่า
การไปสวรรค์ หรือกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งมวล.
แม้ในโสดาปัตติสังยุตก็ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าจักรพรรดิ
ทรงครองราชสมบัติเป็นอิสริยาธิปัตย์แห่งทวีปทั้ง 4 เบื้องหน้าแต่สวรรคต
ย่อมเสด็จเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายของเทพชั้นดาวดึงส์
พระองค์มีนางอัปสรแวดล้อม และเพียบพร้อม พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ 5
อันเป็นทิพย์บำเรออยู่ในนันทนวันนั้น แต่พระองค์ไม่ประกอบด้วยธรรม 4
แม้โดยแท้ ถึงอย่างนั้น พระองค์ก็ไม่พ้นจากนรก จากกำเนิดสัตว์เดียรัจ-
ฉาน จากเปรตวิสัย จากอบาย ทุคติ วินิบาต, ภิกษุทั้งหลาย พระอริย-
สาวกยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยคำข้าว และทรงผ้าเปื้อน และเธอประกอบ
ด้วยธรรม 4 ประการก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอก็พ้นจากนรก จากกำเนิด
สัตว์เดียรัจฉาน จากเปรตวิสัย จากอบาย ทุคติ วินิบาต.

ธรรม 4 ประการอะไรบ้าง ? ภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวกใน
ธรรมวินัยนี้เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
ว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระอรหันต์ ฯ ล ฯ แม้
เพราะเหตุนี้ พระองค์ทรงเป็นผู้ตื่นแล้ว เบิกบานแล้ว ทรงเป็นผู้จำแนก
ธรรม เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า ฯลฯ
อันวิญญูชน พึงทราบเฉพาะตน. เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
หวั่นไหวในพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯ ลฯ เป็น
บุญเขตของโลก. เป็นผู้ประกอบด้วยอริยกันตศีลไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อ
สมาธิ. พระอริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยธรรม 4 เหล่านี้. ภิกษุทั้งหลาย
การได้ทวีปสี่ 1 การได้ธรรมสี่ 1 การได้ทวีป 4 ไม่ถึงเสี้ยวที่ 16 ของ
การได้ธรรมสี่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนกโลกิยสุขว่ายิ่ง ว่าเป็นไปกับด้วย
ความดียิ่ง ทรงจำแนกเฉพาะโลกุตรสุขว่ายอดเยี่ยม ว่าดียิ่ง ในที่ทุกสถาน
ด้วยประการฉะนั้นแล.
จบอรรถกถาราชสูตรที่ 2

3. ทัณฑสูตร



ว่าด้วยความสุขในโลกหน้า



[53] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อา-
รามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล เด็ก