เมนู

อรรถกถาพาหิยสูตร


พาหิยสูตรที่ 10 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า พาหิโย เป็นชื่อของท่าน. บทว่า ทารุจีริโย ได้แก่ ผ้า
คากรองที่ทำด้วยไม้. บทว่า สุปฺปารเก ได้แก่ อยู่ที่ท่าชื่ออย่างนั้น. ก็
พาหิยะนี้คือใคร, และอย่างไรจึงเป็นผู้ทรงผ้าคากรองทำด้วยไม้, อย่างไร
จึงอยู่อาศัยที่ท่าสุปปารกะ ?
ในข้อนั้น มีอนุปุพพิกถาดังต่อไปนี้
ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตะ
ในที่สุดแสนกัปแต่ภัทรกัปนี้ กุลบุตรคนหนึ่งกำลังฟังพระธรรมเทศนา
ของพระทศพลที่หังสวดีนคร เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้
ในตำแหน่งเอตทัคคะแห่งภิกษุผู้เป็นขิปปาภิญญา คิดว่า ไฉนหนอ ใน
อนาคต เราจักบวชในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นปานนี้
แล้วพึงเป็นผู้อันพระศาสดาสถาปนาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเช่นนี้ เหมือน
ภิกษุรูปนี้ ได้ปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงบำเพ็ญบุญญาธิการอันสมควร
แก่ตำแหน่งนั้น บำเพ็ญบุญอยู่ตลอดชีวิต มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า
ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ บวชในพระศาสนาของพระกัสสปทศพล
มีศีลบริบูรณ์บำเพ็ญสมณธรรม ถึงความสิ้นชีวิตแล้วบังเกิดในเทวโลก.
ท่านอยู่ในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิใน
เรือนมีสกุลในพาหิยรัฐ ชนทั้งหลายจำเขาได้ว่า พาหิยะ เพราะเกิดใน
พาหิยรัฐ. เขาเจริญวัยแล้วอยู่ครองเรือน เอาเรือบรรทุกสินค้ามากมาย
แล่นไปยังสมุทรกลับไปกลับมา สำเร็จความประสงค์ 7 ครั้งจึงกลับนคร
ของตน ครั้นครั้งที่ 8 คิดจะไปสุวรรณภูมิ จึงขนสินค้าแล่นเรือไป. เรือ

แล่นเข้ามหาสมุทรยังไม่ทันถึงถิ่นที่ปรารถนา ก็อับปางในท่ามกลางสมุทร.
มหาชนพากันเป็นภักษาของปลาและเต่า ส่วนท่านพาหิยะเกาะกระดาน
แผ่นหนึ่ง กำลังข้ามอยู่ถูกกำลังคลื่นซัดไปทีละน้อย ๆ ในวันที่ 7 ก็ถึง
ฝั่งใกล้ท่าสุปปารกะ. ท่านนอนที่ฝั่งสมุทร โดยรูปกายเหมือนตอนเกิด
เพราะผ้าพลัดตกไปในสมุทร บรรเทาความกระวนกระวายได้แต่เพียง
ลมหายใจ ลุกขึ้นเข้าไประหว่างพุ่มไม้ด้วยความละอาย ไม่เห็นอะไร ๆ
อย่างอื่นที่จะเป็นเครื่องปิดความละอาย จึงหักก้านไม้รัก เอาเปลือกพัน
(กาย) ทำเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดไว้. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เจาะ
แผ่นกระดานเอาเปลือกไม้ร้อยทำเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดไว้. ท่านปรากฏ
ว่า ทารุจีริยะ. เพราะทรงผ้าคากรองทำด้วยไม้ และว่า พาหิยะ ตามชื่อ
เดิมแม้โดยประการทั้งปวง ด้วยประการฉะนี้.
ท่านถือกระเบื้องอันหนึ่ง เที่ยวขอก้อนข้าวที่ท่าสุปปารกะ โดย
ทำนองดังกล่าวแล้ว พวกมนุษย์เห็นเข้าจึงคิดว่า ถ้าชื่อว่าพระอรหันต์
ยังมีในโลกไซร้ ท่านพึงเป็นอย่างนี้ พระผู้เป็นเจ้าองค์นี้ จะถือเอาผ้า
ที่เขาให้ หรือไม่ถือเอาเพราะความมักน้อย ดังนี้ เมื่อจะทดลอง จึงน้อม
นำผ้าจากที่ต่าง ๆ เข้าไป. เขาคิดว่า ถ้าเราจักไม่มาโดยทำนองนี้ไซ้ร้
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเหล่านี้พึงไม่เลื่อมใสเรา ไฉนหนอ เราพึงห้ามผ้า
เหล่านี้เสีย อยู่โดยทำนองนี้แหละ เมื่อเป็นเช่นนี้ ลาภสักการะก็จักเกิด
ขึ้นแก่เรา. เขาคิดอย่างนี้แล้ว จึงตั้งอยู่ในฐานะเป็นผู้หลอกลวงไม่รับผ้า.
พวกมนุษย์คิดว่า น่าอัศจรรย์ พระผู้เป็นเจ้านี้มักน้อยแท้ จึงมีจิตเลื่อมใส
โดยประมาณยิ่ง กระทำสักการะและสัมมานะเป็นอันมาก. ฝ่ายท่านรับ-
ประทานอาหารแล้ว ได้ไปยังเทวสถานแห่งหนึ่งในที่ไม่ไกล. มหาชนก็

ไปกับท่านเหมือนกัน ได้ซ่อมแซมเทวสถานนั้นให้. ท่านคิดว่า คนเหล่านี้
เลื่อมใสในฐานะเพียงที่เราทรงผ้าคากรอง จึงพากันทำสักการะและสัมมา-
นะอย่างนี้ เราควรจะมีความประพฤติอย่างสูงสำหรับคนเหล่านี้ จึงเป็น
ผู้มีบริขารเบาๆ เป็นผู้มักน้อยอยู่. ฝ่ายท่านเมื่อถูกคนเหล่านั้นยกย่องว่า
เป็นพระอรหันต์ ก็สำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ อนึ่ง การทำสักการะ
และทำความเคารพ ก็เจริญยิ่ง ๆ ขึ้น และท่านก็ได้มีปัจจัยมากมาย. เพราะ-
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า " ก็สมัยนั้นแล ท่านพาหิยะ ทารุจีริยะ
อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะใกล้ฝั่งสมุทร เป็นผู้อันมหาชนสักการะ
เคารพ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกฺกโต ความว่า เป็นผู้อันมหาชน
สักการะโดยการบำรุงด้วยความเคารพ คือ เอื้อเฟื้อ. บทว่า ครุกโต
ความว่า ผู้อันมหาชนกระทำให้หนัก ด้วยการกระทำให้หนักดุจฉัตรหิน
โดยความประสงค์ว่า เป็นผู้ประกอบด้วยคุณวิเศษ. บทว่า มานิโต ความ
ว่า ผู้อันมหาชนนับถือด้วยการยกย่องด้วยน้ำใจ. บทว่า ปูชิโต ความว่า
ผู้อันมหาชนบูชาแล้วด้วยการบูชา ด้วยการสักการะ มีดอกไม้และของ
หอมเป็นต้น . บทว่า อปจิโต ได้แก่ ผู้อันมหาชนยำเกรงแล้วด้วยการ
ให้หนทาง และการนำอาสนะมาเป็นต้น ด้วยจิตเลื่อมใสอย่างยิ่ง. บทว่า
สาภี จีวร ฯ เป ฯ ปริกฺขารานํ ความว่า เป็นผู้ได้ด้วยการได้ปัจจัย 4 มี
จีวรเป็นต้น อันแสนจะประณีตที่มหาชนนำเข้าไปยิ่ง ๆ. อีกนัยหนึ่ง
บทว่า สกฺกโต ได้แก่ ได้รับสักการะ. บทว่า ครุกโต ได้แก่ ได้รับ
ความเคารพ. บทว่า มานิโต ได้แก่ อันมหาชนนับถือมาก และมีใจ
รักมาก. บทว่า ปูชิโต ได้แก่ อันมหาชนบูชาแล้วด้วยการบูชาอย่างยิ่ง

ด้วยปัจจัย 4. บทว่า อปจิโต ได้แก่ ได้รับความอ่อนน้อมถ่อมตน.
จริงอยู่ ชนทั้งหลายย่อมสักการะด้วยปัจจัย 4 ตกแต่งอย่างดี ทำให้แสนจะ
ประณีตมอบให้ผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่า อันเขาสักการะ. คนทั้งหลายทำความ
เคารพให้ปรากฏแล้วมอบให้ในผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่า อันเขากระทำเคารพ,
ชนทั้งหลาย ย่อมมีใจ ประพฤติรักใคร่ และนับถือมากซึ่งผู้ใด ผู้นั้น
ชื่อว่า อันเขานับถือ, คนทั้งหลายทำสิ่งนั้นทั้งหมดด้วยการบูชาแก่ผู้ใด
ผู้นั้น ชื่อว่า อันเขาบูชา, ชนทั้งหลาย ย่อมกระทำการนบนอบอย่างยิ่ง
ด้วยการอภิวาท การต้อนรับและอัญชลีกรรมเป็นต้นแก่ผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่า
อันเขายำเกรง. ก็คนเหล่านั้น ได้กระทำสิ่งนั้นทุกอย่างแก่พาหิยะ. ด้วย
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ท่านพาหิยทารุจีริยะ อันเขาสักการะ
แล้ว อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะ. ก็ในที่นี้ท่านพาหิยทารุจีริยะ แม้เมื่อไม่รับ
จีวร เขาก็กล่าวว่า เป็นผู้ได้แม้จีวรเหมือนกัน ด้วยการน้อมเข้าไปว่า
มาเถิดขอรับ จงรับผ้านี้.
บทว่า รโหคตฺสฺส ได้แก่ อยู่ในที่ลับ. บทว่า ปฏิสลฺลีนสฺส ได้
แก่ เป็นผู้อยู่โดดเดี่ยว. เมื่อถูกพวกมนุษย์เป็นอันมากกล่าวว่า ท่านเป็น
พระอรหันต์ ท่านก็เกิดความปริวิตกแห่งใจ คือเกิดความดำริผิดแห่งจิต
โดยอาการที่กล่าวอยู่ในบัดนี้. เกิดความปริวิตกอย่างไร ? เกิดความ
ปริวิตกขึ้นว่า คนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง จะเป็นพระอรหันต์ หรือท่านผู้
บรรลุอรหัตมรรคในโลก เราเป็นคนหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ หรือ
ท่านผู้บรรลุอรหัตมรรคนั้น ความข้อนั้นมีอธิบายดังนี้ ชนเหล่าใด
ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะกำจัดข้าศึกคือกิเลสในสัตว์โลกนี้ และ
เพราะเป็นผู้ควรแก่บูชาและสักการะเป็นต้น หรือคนเหล่าใด ชื่อว่าบรรลุ

พระอรหัตมรรค เพราะฆ่าข้าศึกคือกิเลสเหล่านั้น บรรดาคนเหล่านั้น
เป็นคนหนึ่ง.
บทว่า โปราณสาโลหิตา ได้แก่ เทวดาผู้บำเพ็ญสมณธรรมร่วมกัน
เสมือนพวกพ้องร่วมสายโลหิตกันในภพก่อน. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า
บทว่า ปุราณสาโลหิตา ได้แก่เทวดาองค์หนึ่งผู้เป็นมารดาร่วมสายโลหิต
ในกาลก่อน คือในภพอื่น. ในอรรถกถาท่านปฏิเสธคำนั้น ได้ถือเอาความ
หมายแรกเท่านั้น.
ได้ยินว่า เมื่อก่อน ศาสนาของพระกัสสปทศพลจะเสื่อม ภิกษุ 7 รูป
เห็นประการอันแปลกของสหธรรมิกมีสามเณรเป็นต้น เกิดความสลดใจ
คิดว่าศาสนายังไม่อันตรธานตราบใด เราจะทำที่พึ่งของตนตราบนั้น จึง
เจดีย์ทองแล้วเข้าป่า เห็นภูเขาลูกหนึ่งจึงกล่าวว่า ผู้มีความอาลัยใน
ชีวิตจงกลับไป ผู้ไม่มีความอาลัยจงขึ้นภูเขาลูกนี้ แล้วพากันผูกบันไดขึ้น
ภูเขานั้นทั้งหมด แล้วผลักบันไดลง การทำสมณธรรม. บรรดาภิกษุ
เหล่านั้น พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตโดยล่วงไปราตรีเดียวเท่านั้น. ท่าน
นำบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปแล้วกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า ท่านผู้มีอายุ
ทั้งหลาย โปรดฉันบิณฑบาตจากที่นี้เถิด. ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านผู้
เจริญ ท่านได้ทำอย่างนี้ด้วยอานุภาพของตน ถ้าแม้พวกกระผมจักยังคุณ
วิเศษให้เกิดขึ้นได้เช่นท่านไซร้ จักนำมาฉันเสียเองทีเดียว จึงไม่ปรารถนา
จะฉัน. ตั้งแต่วันที่สองไป พระเถระที่ 2 ก็บรรลุอนาคามิผล. แม้ท่าน
ก็ถือบิณฑบาตเหมือนอย่างนั้นไปยังที่นั้น แล้วนิมนต์ภิกษุนอกนี้
(ฉัน). ฝ่ายภิกษุเหล่านั้นก็ได้ปฏิเสธเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ. บรรดา
ภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้บรรลุพระอรหัตก็ปรินิพพานไป. พระอนาคามีก็ไป

บังเกิดในชั้นสุทธาวาส. ส่วนพระ 5 รูปนอกนี้ แม้เพียรพยายามอยู่ก็ไม่
อาจทำคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้. ภิกษุเหล่านั้นเมื่อไม่สามารถ (จะทำอะไร
ได้) ก็ซูบผอมตายลงในที่นั้นเอง แล้วบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไป
ในเทวโลกนั่นแหละสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้จุติจาก
เทวโลกบังเกิดในเรือนมีสกุลนั้นๆ. ก็บรรดาคนเหล่านั้น คนหนึ่งได้เป็น
พระราชาพระนามว่า ปุกกุสะ, คนหนึ่งเป็น กุมารกัสสปะ, คนหนึ่งเป็น
ทัพพมัลลบุตร, คนหนึ่งเป็น สภิยปริพาชก, คนหนึ่งเป็น พาหิยะ
ทารุจีริยะ.
บรรดาคนเหล่านั้น พระอนาคามีผู้ที่บังเกิดในพรหมโลก
ซึ่งท่านหมายเอากล่าวคำนี้ไว้ว่า ปุราณสาโลหิตา เทวตา เทวดาผู้ร่วม
สาโลหิต ดังนี้. จริงอยู่ แม้เทวบุตรก็เรียกว่า เทวดา เพราะอธิบายว่า
เทวดาก็คือเทพ เหมือนเทพธิดา ดุจในประโยคมีอาทิว่า อถ โข อญฺญ
ตรา เทวตา
ครั้งนั้นแล เทวดาองค์หนึ่ง. แต่ในที่นี้ พรหม ท่านประสงค์
เอาว่า เทวดา.
ก็เมื่อพรหมนั้นตรวจดูพรหมสมบัติแล้วนึกถึงสถานที่ตนมา ใน
ลำดับที่เกิดในพรหมโลกนั้นทีเดียว การที่พวกชนทั้ง 7 คนขึ้นภูเขากระทำ
สมณธรรมก็ดี ความที่ตนบรรลุอนาคามิผล แล้วบังเกิดในพรหมโลกก็ดี
ปรากฏแล้ว. พรหมนั้นรำพึงว่า ฝ่ายชนทั้ง 5 บังเกิดที่ไหนหนอ รู้ว่า
ชนเหล่านั้นบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร ครั้นต่อมาตามเวลาอันสมควร
ได้ตรวจดูประวัติของชนเหล่านั้นว่า การทำอะไรกันหนอ. แต่ในเวลานี้
เมื่อรำพึงว่า พวกเหล่านั้นอยู่ที่ไหนหนอ จึงได้เห็นพาหิยะอาศัยท่า
สุปปารกะ นุ่งผ้าคากรองทำด้วยเปลือกไม้ เลี้ยงชีพด้วยการหลอกลวง
คิดว่า เมื่อก่อน ผู้นี้พร้อมกับเราผูกบันไดข้นภูเขากระทำสมณธรรม ไม่

อาลัยในชีวิต เพราะประพฤติกวดขันอย่างยิ่ง แม้พระอรหันต์จะนำ
บิณฑบาตมาให้ก็ไม่ฉัน บัดนี้ประสงค์แต่จะให้เขายกย่อง ไม่เป็นพระ-
อรหันต์เลย ก็ยังเที่ยวปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ มีความปรารถนา
ลาภ สักการะและชื่อเสียง ทั้งไม่รู้ว่าพระทศพลอุบัติขึ้นแล้ว เอาเถอะ
เราจักทำเขาให้สลดใจแล้วให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว ทันใดนั้นเอง
จึงลงจากพรหมโลก ปรากฏตรงหน้าท่านทารุจีริยะ ที่ท่าสุปปารกะ ตอน
กลางคืน. ท่านพาหิยะเห็นแสงสว่างโชติช่วงในที่อยู่ของตน จึงคิดว่า
นี้เหตุอะไรหนอ แล้วได้ออกไปข้างนอกตรวจดูอยู่ เห็นมหาพรหมอยู่ใน
อากาศ จึงประคองอัญชลีถามว่า ท่านเป็นใคร่ ? ลำดับนั้น พราหมได้
กล่าวแก่ท่านว่า เราเป็นสหายเก่าของท่าน คราวนั้นเราบรรลุอนาคามิผล
บังเกิดในพรหมโลก แต่ท่านไม่สามารถจะทำคุณวิเศษอะไรให้บังเกิดได้
คราวนั้นท่านทำกาลกิริยาเยี่ยงปุถุชนท่องเที่ยวไป บัดนี้ ทรงเพศเยี่ยง
เดียรถีย์ ไม่เป็นพระอรหันต์เลย ยังเที่ยวถือลัทธินี้ว่า เราเป็นพระอรหันต์
(เรา) รู้ดังนี้จึงได้มา ดูก่อนพาหิยะ ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย จง
สละทิฏฐิอันลามกเช่นนั้นเสียเถิด ท่านอย่าได้เป็นไปเพื่อฉิบหาย เพื่อทุกข์
ตลอดกาลนานเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ความจริง
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ จงเข้าไปเฝ้าพระองค์เถิด.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ครั้งนั้นแล เทวดาผู้เป็นสาโลหิต
ของพาหิยะ ทารุจีริยะ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุกมฺปิกา ได้แก่ ผู้มีปกติอนุเคราะห์.
คือ ผู้ยิ่งด้วยกรุณา. บทว่า อตฺถกามา ได้แก่ ผู้ปรารถนาประโยชน์ คือ
ผู้ยิ่งด้วยเมตตา. ก็ในที่นี้ ด้วยบทแรก ท่านแสดงถึงความที่เทวดานั้น

ประสงค์จะบำบัดทุกข์ของพาหิยะ, ด้วยบทหลัง แสดงถึงการนำประโยชน์
เกื้อกูลเข้าไป. บทว่า เจตสา ได้แก่ ด้วยจิตของตน. ก็ในที่นี้ พึงทราบ
ว่า ท่านถือเอาเจโตปริยญาณ โดยยกจิตขึ้นเป็นประธาน. บทว่า เจโต-
ปริวิตกฺกํ
ได้แก่ ความเป็นไปแห่งจิตของท่าน. บทว่า อญฺญาย แปลว่า
รู้แล้ว. บทว่า เตนุปสงฺกมิ ความว่า บุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้เข้า
หรือคู้แขนที่เหยียดออก ชื่อแม้ฉันใด พรหมอันตรธานจากพรหมโลกเข้า
ไปปรากฏตรงหน้าพาหิยะ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. บทว่า เอตทโวจ ความว่า
พรหมได้กล่าวคำนี้ คือคำที่จะกล่าวในบัดนี้ มีอาทิว่า พาหิยะ ท่าน
มิใช่พระอรหันต์แล ดังนี้ ก็ท่านพาหิยะผู้มิจฉาปริวิตกที่เป็นไป มีอาทิว่า
ผู้ใดผู้หนึ่งจะเป็นพระอรหันต์หรือ ดังนี้ เหมือนจับโจรพร้อมทั้งของ
กลาง. ด้วยบทว่า เนว โข ตฺวํ พาหิยะ อรหา นี้ พรหมปฏิเสธว่าท่าน
พาหิยะมิใช่พระอเสขะในกาลนั้น. ด้วยบทว่า นาปิ อรหตฺตมคฺคํ วา
สมาปนฺโน
นี้ แสดงว่าท่านพาหิยะยังเป็นเสขบุคคล. แม้ด้วยบททั้งสอง
นั้น แสดงว่าท่านพาหิยะไม่ใช่พระอริยบุคคลเลย. ก็ด้วยคำว่า สาปิ เต
ปฏิปทา นตฺถิ ยาย พาหิย ตฺวํ อรหา วา อสฺสสิ อรหตฺตมคฺคํ วา
สมาปนฺโน
นี้ พรหมปฏิเสธว่า ท่านพาหิยะเป็นเพียงกัลยาณปุถุชน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิปทา ได้แก่ วิสุทธิ 6 (ข้างต้น) มีสีล-
วิสุทธิเป็นต้น. ที่ชื่อว่าปฏิปทา เพราะเป็นเครื่องดำเนินไปในอริยมรรค.
บทว่า อสฺสสิ แปลว่า พึงเป็น
ถามว่า ก็ความสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์นี้ เกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะ
อาศัยอะไร ? ตอบว่า อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ความสำคัญตนว่าเป็นพระ-
อรหันต์เกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะท่านกำจัดกิเลสได้ด้วยตทังคปหาน เหตุได้

สร้างบุญญาธิการไว้ตลอดกาลนาน โดยความที่ท่านเป็นผู้มักน้อย สันโดษ
และเป็นผู้ขัดเกลา. แต่อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ท่านพาหิยะได้ฌาน 4
มีปฐมฌานเป็นต้น เพราะฉะนั้น ความสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ จึง
เกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะกิเลสไม่ฟุ้งขึ้นด้วยวิกขัมภนปหาน. ทั้งสองอย่างนั้น
เป็นเพียงมติของเกจิอาจารย์เท่านั้น เพราะมาในอรรถกถาว่า ท่าน
ประสงค์แต่ความยกย่อง และว่า ท่านไม่ปรารถนาลาภสักการะและการสรร-
เสริญ. เพราะฉะนั้น พึงทราบความในข้อนี้ โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
ลำดับนั้น ท่านพาหิยะแลดูมหาพรหมผู้ยืนกล่าวอยู่ในอากาศ จึง
คิดว่า โอ ข้อที่เราเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นกรรมหนักแท้ และ
พรหมนี้กล่าวว่า แม้ปฏิปทาเป็นเครื่องบรรลุพระอรหัตก็ไม่มีแก่ท่าน ใครๆ
ผู้เป็นพระอรหันต์ในโลก มีอยู่หรือหนอ. ลำดับนั้นจึงถามมหาพรหมนั้น
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ เก จรหิ เทวเต โลเก อรหนฺโต วา
อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺนา.

บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า อถ เป็นนิบาตใช้ในอรรถเริ่มคำถาม.
บทว่า เก จรหิ แก้เป็น เก เอตรหิ. บทว่า โลเก ได้แก่ ในโอกาส-
โลก. ก็ในข้อนี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ ครั้งนั้น ในพื้นชมพูทวีปทั้งสิ้น
อันเป็นโลกเป็นที่รองรับ บัดนี้ พระอรหันต์หรือผู้บรรลุอรหัตมรรค
มีอยู่ที่ไหนอันเป็นที่ที่พวกเราเข้าไปหาท่านเหล่านั้น ตั้งอยู่ในโอวาทของ
ท่านแล้ว จักพ้นจากวัฏทุกข์.
บทว่า อุตฺตเรสุ ท่านกล่าวหมายเอาด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
จากท่าสุปปารกะ. บทว่า อรหํ ได้แก่ ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะ
เป็นผู้ไกล (จากกิเลส). จริงอยู่ พระอรหันต์นั้น ชื่อว่าเป็นผู้ไกล คือ

ตั้งอยู่ในที่ไกลแสนไกลจากสรรพกิเลส. (และ) ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะ
กำจัดกิเลสพร้อมทั้งวาสนาด้วยมรรค หรือฆ่ากิเลสดุจข้าศึกเสียได้. จริงอยู่
ข้าศึกคือกิเลสทั้งหลาย อันพระผู้มีพระภาคเจ้าฆ่า คือถอนแล้วด้วย
อรหัตมรรคโดยสิ้นเชิง. อนึ่ง ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะกำจัดกำคือ
กิเลสเสียได้. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงยืนหยัดอยู่บนปฐพีคือ
ศีล ด้วยพระยุคลบาทคือวิริยะ ทรงใช้พระหัตถ์คือศรัทธา จับขวานคือ
ญาณอันเป็นเหตุกระทำกรรมให้สิ้น แล้วทรงประหาร คือกำจัดกำทั้งหมด
แห่งสังสารจักรอันมีดุมสำเร็จด้วยอวิชชา ภพและตัณหา มีบุญญาภิสังขาร
เป็นต้นเป็นกำ มีชราและมรณะเป็นกง สอดใส่เพลาอันสำเร็จด้วยอาสวะ
สมุทัยประกอบเข้าในรถคือภพ 3 เป็นไปตลอดกาลไม่มีเบื้องต้น. อีก
อย่างหนึ่ง ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ควร. ความจริง พระผู้มี
พระภาคเจ้าย่อมควรแก่ปัจจัยมีจีวรเป็นต้นอันยิ่ง และบูชาพิเศษ เพราะ
พระองค์เป็นพระทักขิไณยบุคคลอันเลิศในโลกพร้อมทั้งเทวโลก. อนึ่ง
ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะไม่มีความลับ (ในการทำบาป) จริงอยู่ พระ-
ตถาคตท่านเรียกว่าพระอรหันต์ เพราะไม่มีความลับในการทำบาป โดย
กิเลสลามกไม่มี เพราะพระองค์ถอนกิเลสมีราคะเป็นต้นได้โดยประการ
ทั้งปวง.
ชื่อว่า สัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบและด้วย
พระองค์เอง. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ยิ่ง ซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง
ซึ่งธรรมที่ควรกำหนดรู้ โดยเป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้ ซึ่งธรรมที่
ควรละโดยเป็นธรรมที่ควรละ ซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง โดยเป็นธรรมที่

ควรทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมที่ควรเจริญโดยเป็นธรรมที่ควรเจริญ. มีจริง
ดังที่ตรัสไว้ว่า
อภิญฺเญยฺยํ อภิญฺญาตํ ภาเวตพฺพญฺจ ภาวิตํ
ปหาตพฺพํ ปหีนมฺเม ตสฺมา พุทฺโธสฺมิ พฺราหฺมณ.
ธรรมที่ควรรู้ยิ่ง เรารู้ยิ่งแล้ว ธรรมที่ควรเจริญ เรา
เจริญแล้ว ธรรมที่ควรละ เราละได้แล้ว เพราะฉะนั้น
แหละ พราหมณ์ เราจึงเป็นพระพุทธเจ้า.
อีกอย่างหนึ่ง พึงแนะนำอรรถนี้โดยธรรมหมวดสามและสองทั้งปวง
เป็นต้น โดยนัยมีอาทิว่า ธรรม ชื่อว่าเป็นกุศล เพราะไม่มีโทษมีสุขเป็น
ผล ธรรม ชื่อว่าเป็นอกุศล เพราะมีโทษ มีทุกข์เป็นผล. ในข้อนี้ มี
ความสังเขปดังนี้ว่า ชื่อว่าสัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง
โดยอาการทั้งปวง ด้วยสยัมภูญาณอันไม่วิปริตด้วยประการดังนี้ . ส่วน
ความพิสดาร พึงทราบโดยนัยที่มาในวิสุทธิมรรคนั้นแล.
บทว่า อรหตฺตตาย ได้แก่ เพื่อได้อรหัตผล. บทว่า ธมฺมํ เทเสติ
ความว่า ย่อมอ้าง คือแสดงธรรมคือปฏิปทามีศีลเป็นต้น อันควรแก่คุณ
พิเศษมีไพเราะในเบื้องต้นเป็นต้น หรือธรรมคือสมถะและวิปัสสนาอัน
เหมาะแก่อัธยาศัยของเวไนยสัตว์นั่นแล. บทว่า สํเวชิโต ความว่า ให้ถึง
ความสลดใจว่า ผู้เจริญ น่าติเตียนจริง ความเป็นปุถุชน อันเป็นเหตุ
ให้เราผู้ไม่เป็นพระอรหันต์เลย สำคัญว่าเป็นพระอรหันต์ และไม่รู้พระ-
สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เสด็จอุบัติขึ้นในโลกทรงแสดงธรรมอยู่ ก็ความเป็นอยู่
รู้ได้ยาก ความตายก็รู้ได้ยาก. อธิบายว่า มีใจสลดด้วยอาการตามที่กล่าว
แล้ว ด้วยคำพูดของเทวดา. บทว่า ตาวเทว แปลว่า ในขณะนั้นนั่นเอง.

บทว่า สุปฺปารกา ปกฺกามิ ความว่า ผู้มีหทัยอันปีติมีพระพุทธเจ้าเป็น
อารมณ์ อันเกิดขึ้นเพราะได้ยินพระนามว่า พุทฺโธ และถูกความสังเวช
ตักเตือนอยู่ จึงได้จากท่าสุปปารกะหลีกไป มุ่งตรงกรุงสาวัตถี. บทว่า
สพฺพตฺถ เอกรตฺติปริวาเสน ความว่า ได้ไปโดยอยู่พักแรมราตรีเดียวใน
หนทางทั้งปวง. จริงอยู่ เมืองสาวัตถีจากท่าสุปปารกะ มีระยะทาง 120
โยชน์ แต่ท่านพาหิยะนี้ ได้ไปยังกรุงสาวัตถีนั้นโดยพักแรมราตรีเดียว
ตลอดระยะทางเท่านี้. ท่านถึงกรุงสาวัตถีในวันที่ออกจากท่าสุปปารกะ
นั่นเอง. ถามว่า ก็อย่างไร ท่านพาหิยะนี้จึงได้ไปอย่างนั้น ? ตอบว่า
เพราะอานุภาพของเทวดา. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพราะพุทธานุภาพ
ก็มี. เป็นอันท่านแสดงอธิบายไว้ดังนี้ว่า ก็เพราะท่านกล่าวว่า โดยพัก
แรมราตรีเดียวในที่ทุกสถาน และเพราะหนทางมีระยะ. 12.0โยชน์ ใน
ระหว่างทาง ท่านไม่ให้อรุณที่ 2 ตั้งขึ้นในที่ที่คนอยู่ตอนกลางคืนในคาม
นิคมและราชธานี จึงไปถึงกรุงสาวัตถีโดยพักแรมราตรีเดียวในที่ทุกแห่ง.
ข้อนี้ ไม่พึงเห็นอย่างนี้ว่า ท่านอยู่ในหนทางนั้นทั้งสิ้นเพียงราตรีเดียว
เพราะประสงค์เอาความนี้ว่า โดยพักแรมแห่งละราตรี ในหนทางทั้งหมด
มีระยะทาง 120 โยชน์ ในวันสุดท้ายเวลาเย็น จึงถึงกรุงสาวัตถี.
ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พาหิยะมาถึง ทรงพระดำริว่า
ชั้นแรก อินทรีย์ของท่านพาหิยะยังไม่แก่กล้า แต่ในระหว่างชั่วครู่หนึ่งจัก
ถึงความแก่กล้า ดังนี้แล้ว รอคอยให้ท่านมีอินทรีย์แก่กล้า จึงแวดล้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จทรงบาตรยังกรุงสาวัตถีในขณะนั้น. และท่าน
พาหิยะนั้นก็เข้าไปยังพระเชตวัน เห็นภิกษุเป็นอันมากฉันภัตตาหารเช้า
แล้ว จงกรมอยู่ในอัพโภกาสกลางแจ้ง เพื่อปลดเปลื้องความเกียจคร้านกาย

จึงถามว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ไหน. ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบาตรยังกรุงสาวัตถี แล้วถามว่า ก็ท่านเล่ามาแต่
ไหน ? ท่านตอบว่า มาจากท่าสุปปารกะ. ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่าน
มาไกล เชิญนั่งก่อน จงล้างเท้า ทาน้ำมัน แล้วพักสักหน่อยหนึ่งใน
เวลาพระองค์กลับมา ก็จักเห็นพระศาสดา. ท่านพาหิยะกล่าวว่า ท่าน
ขอรับ กระผมไม่รู้อันตรายแห่งชีวิตของตน โดยวันเล็กน้อย กระผม
ไม่ยืนไม่นั่งนานแม้ในที่ไหน ๆ มาสิ้นระยะทาง 120 โยชน์ พอเฝ้า
พระศาสดาแล้วจึงจักพักผ่อน จึงรีบด่วนไปยังกรุงสาวัตถี เห็นพระผู้มี
พระภาคเจ้าผู้รุ่งโรจน์ด้วยพุทธสิริหาที่เปรียบปานมิได้. ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า ก็สมัยนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากจงกรมอยู่ในโอกาสกลาง
แจ้ง. ลำดับนั้นแล ท่านพาหิยะ ทารุจีริยะได้เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น
ถึงที่อยู่ ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กหํ เป็น กตฺถ แปลว่าที่ไหน. ศัพท์
ว่า นุ ใช้ในอรรถว่าสงสัย. ศัพท์ว่า โข ใช้ในอรรถว่าทำบทให้เต็ม.
อธิบายว่า ในประเทศไหนหนอแล. บทว่า ทสฺสนกามา แปลว่า
เป็นผู้ใคร่จะเห็น. ท่านแสดงไว้ว่า ก็เราปรารถนาจะเฝ้าและเข้าไปใกล้
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เหมือนคนบอดปรารถนาจักษุประสาท เหมือนคน
หนวกปรารถนาโสตประสาท เหมือนคนใบ้ปรารถนาการกล่าวให้รู้เรื่อง
เหมือนคนมีมือเท้าวิกลปรารถนามือเท้า เหมือนคนขัดสนปรารถนาทรัพย์
สมบัติ เหมือนคนเดินทางกันดารปรารถนาที่อันปลอดภัย เหมือนคนถูก
โรคครอบงำปรารถนาความไม่มีโรค เหมือนคนถูกเรืออับปางในมหา-

สมุทรปรารถนาแพใหญ่ ฉะนั้น. บทว่า ตรมานรูโป ได้แก่ เป็นผู้มี
อาการรีบด่วน หรือผู้มีการสงเคราะห์อันน่าสรรเสริญ.
บทว่า ปาสาทิกํ ความว่า นำมาซึ่งความเลื่อมใสรอบด้านแก่ชนผู้
ขวนขวายในการเห็นพระรูปกาย เพราะความสมบูรณ์ด้วยความงามแห่ง
สรีระของพระองค์ อันนำความเลื่อมใสมารอบด้าน อันประดับด้วยมหา-
ปุริสลักษณะ 32 อนุพยัญชนะ 80 พระรัศมีด้านละวา และพระ-
เกตุมาลารัศมีที่เปล่งเหนือพระเศียร. บทว่า ปสาทนียํ ความว่า เป็นที่ตั้ง
แห่งความเลื่อมใส เหมาะที่จะควรเลื่อมใส หรือควรแก่ความเลื่อมใสของ
คนผู้มีปัญญาเห็นประจักษ์ เพราะธรรมกายสมบัติอันประกอบด้วยจำนวน
พระคุณหาประมาณมิได้ มีทศพลญาณ 10 เวสารัชชญาณ 4 อสาธารณ-
ญาณ 6 อาเวณิยพุทธธรรม 18 เป็นต้น. บทว่า สนฺตินฺทฺริยํ ได้แก่
อินทรีย์ 5 ที่สงบระงับ เพราะปราศจากความหวั่นไหวในอินทรีย์ห้า
มีจักขุนทรีย์เป็นต้น. บทว่า สนฺตมานสํ ได้แก่ มีใจสงบระงับ เพราะ
เข้าถึงภาวะที่มนินทรีย์ที่หกหมดพยศ. บทว่า อุตฺตมทมถสมถมนุปฺปตฺตํ
ความว่า ถึงโดยลำดับ คือบรรลุความฝึกฝนและสงบอันสูงสุด กล่าวคือ
ปัญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติอันเป็นโลกุตระตั้งอยู่. บทว่า ทนฺตํ ความว่า
ชื่อว่าฝึกกาย เพราะมีกายสมาจารบริสุทธิ์ดี และเพราะไม่มีการเล่น โดย
ไม่มีการคะนองมือคะนองเท้าเป็นต้น. บทว่า คุตฺตํ ความว่า ชื่อว่า คุ้ม-
ครองวาจา เพราะมีวจีสมาจารบริสุทธิ์ดี และเพราะไม่มีการเล่น โดยไม่มี
วาจาไร้ประโยชน์เป็นต้น. บทว่า ยตินฺทฺริยํ ได้แก่ ชื่อว่า มีอินทรีย์สำรวม
แล้ว ด้วยการประกอบฤทธิ์อันเป็นของพระอริยะ เพราะมีมโนสมาจาร
บริสุทธิ์ด้วยดี และด้วยอำนาจมนินทรีย์ เพราะมีความวางเฉยในการไม่

ขวนขวายและการไม่พิจารณา. บทว่า นาคํ ความว่า ชื่อว่า ผู้ประเสริฐ
เพราะเหตุเหล่านี้ คือ การไม่ลุอำนาจฉันทาคติเป็นต้น กิเลสมีราคะ
เป็นต้น ที่ละได้แล้วไม่กลับเกิดอีก คือไม่หวนกลับมา บาปแม้อะไรก็
ไม่ทำแม้โดยประการทั้งปวง และไม่ไปสู่ภพใหม่.
ก็ด้วยบทว่า ปาสาทิกํ นี้ ในอธิการนี้ ท่านแสดงถึงความสำคัญ
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยรูปกาย. ด้วยบทว่า ปสาทนียํ นี้ แสดงถึง
ความสำคัญของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยธรรมกาย. ด้วยบทมีอาทิว่า สนฺตินฺ-
ทฺริยํ
นี้ แสดงถึงความสำคัญพระคุณที่เหลือ. เพราะเหตุนั้น พึงทราบ
ว่า ท่านประกาศความสำคัญของพระผู้มีพระภาคเจ้าแก่เหล่าสัตว์โดยสิ้นเชิง
ในโลกสันนิวาสที่เชื่อถือประมาณ 4 พวก.
ก็ท่านพาหิยะ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นอย่างนั้นกำลังเสด็จ
ไปในถนน ร่าเริงยินดีว่า นานจริงหนอ เราจึงได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
มีสรีระอันปีติ 5 ประการถูกต้องตลอดเวลา ดวงตาก็นั่งเพราะปีติซาบซ่าน
น้อมสรีระลงตั้งแต่ที่ ๆ ได้เห็นแล้ว ก็หยั่งลงท่ามกลางรัศมีพระวรกายของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า จมลงในพระรัศมีนั้น เข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นวดฟั้นพระยุคลบาทของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า จุมพิตอยู่ พลางกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มี-
พระภาคเจ้าโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด. เพราะเหตุนั้น จึงกล่าวว่า
ท่านหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า
แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มี
พระภาคเจ้าโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดแสดง

ธรรมอันเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข แต่ข้าพระองค์สิ้นกาล
นานเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุคโต ความว่า ชื่อว่า สุคต เพราะ
เสด็จไปงาม คือเสด็จไปสู่ที่อันงาม เสด็จไปโดยชอบ มีพระวาจาชอบ.
จริงอยู่ การไปท่านเรียกว่า คต. ก็การไปนั้นของพระผู้มีพระภาคเจ้า
งามคือบริสุทธิ์ไม่มีโทษ. ถามว่า ก็การไปคืออะไร ? ตอบว่า คืออริย-
มรรค. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเสด็จไปสู่ทิศเกษมไม่ติดขัดด้วย
การไปนั้น. แม้คนอื่นพระองค์ก็ให้ดำเนินไปด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อ
ว่าสุคต เพราะเสด็จไปงาม. ก็พระองค์เสด็จไปสู่ที่อันดี คืออมตนิพพาน
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าสุคต เพราะเสด็จไปสู่ที่อันดี. พระองค์ ชื่อว่า
สุคต เพราะเสด็จไปชอบ เหตุไม่หวนกลับมาสู่กิเลสที่พระองค์ประหาร
ด้วยมรรคนั้น ๆ. สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสว่า ชื่อว่า สุคต เพราะไม่
มาอีก ไม่กลับมา ไม่หวนกลับมาสู่กิเลสที่พระองค์ประหารได้ด้วยโสดา-
ปัตติมรรค. ชื่อว่า สุคต เพราะไม่หวนกลับมาสู่กิเลสที่พระองค์ประหาร
ได้ด้วยสกทาคามิมรรค ฯ ลฯ ด้วยอรหัตมรรค. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า
สมฺมาคตตฺตา ความว่า เพราะเสด็จไป คือดำเนินไปด้วยดีด้วยสัมมา-
ปฏิบัติ แม้ในการกำหนดทั้ง 3 อย่าง. จริงอยู่ ชื่อว่า สุคต เพราะ
เสด็จไปโดยชอบแม้ด้วยอาการอย่างนี้ว่า พระองค์ทรงบรรลุที่สุดญาตัตถ-
จริยา โลกัตถจริยา พุทธัตถจริยา ด้วยสัมมาปฏิบัติอันบริบูรณ์ด้วยพระ-
บารมี 30 ถ้วน จำเดิมแต่บาทมูลพระพุทธเจ้าทีปังกร ตราบเท่าถึงมหา-
โพธิมณฑล ทรงพอกพูนเฉพาะหิตสุขแก่โลกทั้งปวง ต่อแต่นั้น จึงเสด็จ
ไป คือดำเนินไป ด้วยการเป็นใหญ่ในธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุใน

อริสัจ 4 ด้วยมัชฌิมาปฏิปทา กล่าวคือโพชฌงคภาวนาอันยอดเยี่ยม
ไม่ข้องแวะที่สุดเหล่านี้ คือ สัสสตทิฏฐิ อุจเฉททิฏฐิ กามสุขัลลิกานุโยค
อัตตกิลมถานุโยค และด้วยสัมมาปฏิบัติอันไม่ใช่วิสัยในสัตว์ทั้งปวง. ก็
พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ตรัสโดยชอบ คือตรัสพระวาจาเฉพาะที่ควร ใน
ฐานะอันควร เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า สุคต. สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสว่า
เราตถาคตเป็นกาลวาที พูดตามกาล ภูตวาที พูดตามที่เป็นจริง อัตถวาที
พูดตามอรรถ ธัมมวาที พูดตามธรรม วินัยวาที พูดตามวินัย พูดวาจา
ที่มีหลักฐาน มีที่อ้างมีที่สุดประกอบด้วยประโยชน์ตามกาลอันควร. ตรัส
ไว้อีกอย่างมีอาทิว่า วาจาใด ไม่เป็นจริงไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
และวาจานั้นไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่พอใจของชนเหล่าอื่น เราตถาคตไม่พูด
วาจานั้น. ชื่อว่า สุคต แม้เพราะตรัสชอบด้วยประการฉะนี้. บทว่า
ยํ มมสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ความว่า การแสดงอ้างถึงกรรมใด
พึงเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ฌานและวิโมกข์เป็นต้น และเพื่อสุข
ที่จะพึงบรรลุฌานและวิโมกข์เป็นต้นนั้น แก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนาน.
บทว่า อกาโล โข ตาว ความว่า ดูก่อนพาหิยะ ไม่ใช่กาลเพื่อ
แสดงธรรมแก่ท่านก่อน. อธิบายว่า ก็เพราะเหตุอะไร พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า จึงไม่มีกาลในการปฏิบัติประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์เล่า เพราะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นกาลวาที. ก็ในคำว่า กาโล นี้ ประสงค์เอากาล
ที่เหล่าเวไนยสัตว์มีอินทรีย์แก่กล้า. ด้วยว่าเพราะเหตุที่ในขณะนั้น รู้ได้
ยากว่า อินทรีย์ทั้งหลายของท่านพาหิยะแก่กล้าหรือไม่แก่กล้า ฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสเทศนานั้น เมื่อทรงอ้างถึงเหตุแก่เขาว่า

พระองค์ประทับยืนอยู่ระหว่างถนน จึงตรัสว่า อนฺตฆรํ ปวิฏฺฐมฺหา
ดังนี้.
บทว่า ทุชฺชานํ แปลว่า พึงรู้ได้ยาก. ด้วยบทว่า ชีวิตนฺตรายานํ
ท่านพาหิยะประสงค์จะกล่าวว่า การเป็นไปหรือไม่เป็นไปแห่งธรรมอันทำ
อันตรายต่อชีวิต จึงกล่าวว่า ชีวิตนฺตรายานํ ดังนี้ ด้วยอำนาจการหมุน
เวียน. จริงอย่างนั้น ชีวิตคือความเป็นไปเนื่องด้วยปัจจัยเป็นอันมาก
และอันตรายต่อชีวิตนั้นก็มีมาก. สมจริงดังที่ตรัสว่า
อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ โก ชญฺญา มรณํ สุเว
น หิ โน สงฺครนฺเตน มหาเสเนน มจฺจุนา
พึงรีบทำความเพียรในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้
ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนด้วย
มฤตยูอันมีเสนาใหญ่ ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย.

ก็เพราะเหตุไร ท่านพาหิยะนี้จึงมุ่งแต่อันตรายชีวิตเท่านั้นเป็นอัน
ดับแรก. อาจารย์บางพวกแก้ว่า เพราะท่านรู้แต่อารมณ์ที่เป็นนิมิตหรือ
ฉลาดในสิ่งที่คนไม่เห็น. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า เพราะท่านได้ยิน
อันตรายชีวิตในสำนักของเทวดา. ก็ท่านถูกอุปนิสัยสมบัติตักเตือนจึงกล่าว
อย่างนั้น เพราะเป็นผู้มีภพสุดท้าย. จริงอยู่ ท่านเหล่านั้นยังไม่บรรลุ
พระอรหัต จึงไม่สิ้นชีวิต. ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระ-
ประสงค์จะทรงแสดงธรรมแก่ท่านนั่นแหละ จึงห้ามไว้ถึง 2 ครั้ง ได้ยิน
ว่าพระองค์มีพระดำริอย่างนี้ว่า ตั้งแต่เวลาที่พาหิยะนี้เห็นเรา สรีระทั้งสิ้น
อันปีติถูกต้องไม่ขาดระยะ กำลังปีติมีความรุนแรง แม้จักฟังธรรมแล้วก็ไม่
สามารถแทงตลอดได้จึงห้ามไว้ ตราบเท่าที่มัชฌัตตุเปกขาจะดำรงอยู่ก่อน

แม้ความกระวนกระวายในกายของท่านก็มีกำลัง เพราะท่านมาสู่หนทาง
สิ้นระยะทาง 120 โยชน์ แม้ท่านระงับความกระวนกระวายอยู่ก่อน เพราะ
เหตุนั้น จึงทรงปฏิเสธถึง 2 ครั้ง. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้ทรงทำอย่างนั้น เพื่อให้เกิดความเอื้อเฟื้อในการฟังธรรม.
แต่พระองค์ถูกขอร้องถึงครั้งที่ 3 ทรงเห็นมัชฌัตตุเปกขาเป็นเครื่องระงับ
ความกระวนกระวาย และอันตรายชีวิตที่ปรากฏแก่ท่าน ทรงดำริว่า บัดนี้
เป็นกาลเพื่อแสดงธรรม จึงเริ่มแสดงธรรมโดยนัยมีอาทิว่า ตสฺมาติห เต
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะท่านเป็นผู้เกิด
ความขวนขวายอ้อนวอนเราอย่างยิ่ง หรือเพราะท่านกล่าวว่าอันตรายชีวิต
รู้ได้ยาก และอินทรีย์ของท่านแก่กล้าแล้ว. ศัพท์ว่า ติห เป็นเพียงนิบาต.
บทว่า เต แปลว่า อันท่าน. ด้วยคำว่า เอวํ นี้ ตรัสถึงอาการที่จะกล่าว
ในบัดนี้. บทว่า สิกฺขิตพฺพํ ความว่า พึงทำการศึกษาโดยสิกขาแม้ทั้ง 3
มีอธิศีลสิกขาเป็นต้น.
แต่เมื่อพระองค์จะทรงแสดงอาการที่จะพึงศึกษา จึงตรัสคำมีอาทิว่า
ทิฏฺเฐ ทิฏฺฐมตฺตํ ภวิสฺสติ เมื่อเห็นก็เป็นเพียงแต่เห็น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺเฐ ทิฏฺฐมตฺตํ ได้แก่ สักว่าการ
เห็นรูปายตนะ ด้วยจักขุวิญญาณ. อธิบายว่า เธอพึงศึกษาว่า จักขุ-
วิญญาณเห็นซึ่งรูปในรูปเท่านั้น หาเห็นสภาพลักษณะมีอนิจจลักษณะ
เป็นต้นไม่ ฉันใด รูปที่เหลือจักเป็นเพียงอันเราเห็นด้วยวิญญาณที่เป็น
ไปทางจักขุทวารนั้นเท่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า การรู้แจ้งซึ่งรูป
ในรูปด้วยจักขุวิญญาณ ชื่อว่า เห็นรูปในรูปที่เห็น. บทว่า มตฺตา แปลว่า

ประมาณ. ประมาณแห่งรูปนี้ที่เห็นแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทิฏฐ-
มัตตะ.
อธิบายว่า จิตเป็นเพียงจักขุวิญญาณเป็นประมาณเท่านั้น. ท่าน
อธิบายไว้ว่า จักขุวิญญาณ ย่อมไม่กำหนัด ขัดเคือง หลงในรูปที่มาปรากฏ
ฉันใด เราจักตั้งชวนจิตไว้โดยประมาณแห่งจักขุวิญญาณอย่างนี้ว่า ชวน-
จิตของเราจักเป็นเพียงจักขุวิญญาณเท่านั้น เพราะเว้นจากราคะเป็นต้น.
อีกอย่างหนึ่ง รูปที่จักขุวิญญาณเห็น ชื่อว่า ทิฏฐะ. จิต 3 ดวงคือสัมปฏิจ-
ฉนจิต สันติรณจิตและโวฏฐัพพนจิต ที่เกิดขึ้นเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ
ชื่อว่า ทิฏฐมัตตะ. พึงทราบความในข้อนี้อย่างนี้ว่า จิต 3 ดวงนี้ ย่อม
ไม่กำหนัด ขัดเคือง ลุ่มหลง ฉันใด เมื่อรูปม้าปรากฏ เราก็จักให้ชวน-
จิตเกิดขึ้นโดยประมาณสัมปฏิจฉนจิตเป็นต้นนั้นนั่นแหละ เราจะไม่ให้
ก้าวล่วงประมาณนั้นเกิดขึ้นด้วยความกำหนัดเป็นต้น ฉันนั้น. ในสุตะ
และมุตะก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็บทว่า มุตํ พึงทราบคันธายตนะ รสายตนะและ
โผฏฐัพพายตนะกับด้วยวิญญาณ ซึ่งมีคันธายตนะ รสายตนะ และโผฏฐัพ-
พายตนะนั้นเป็นอารมณ์. ก็ในคำว่า วิญฺญาเต วิญฺญาณมตฺตํ นี้ มีวินิจ-
ฉัยดังต่อไปนี้ ชื่อว่า วิญญาตะ ได้แก่ อารมณ์ที่มโนทวาราวัชชนจิต
แจ้งแล้ว. เมื่อรู้แจ้งอารมณ์นั้นก็เป็นอันชื่อว่า มโนทวาราวัชชนจิตรู้แจ้ง
แล้ว เหตุนั้น จึงชื่อว่า มีอาวัชชนจิตเป็นประมาณ. ในข้อนี้มีอธิบาย
ดังนี้ว่า อาวัชชนจิตย่อมไม่กำหนัด ขัดเคือง ลุ่มหลง ฉันใด เราจักพัก
จิตโดยประมาณแห่งอาวัชชนจิตเท่านั้น ไม่ยอมให้เกิดขึ้นด้วยความกำหนัด
เป็นต้น ฉันนั้น. บทว่า เอวญฺหิ เต พาหิย สิกฺขิตพฺพํ ความว่า พาหิยะ
เธอพึงศึกษาโดยคล้อยตามสิกขาทั้ง 3 ด้วยปฏิปทานี้อย่างนี้.

ดังนี้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงจำแนกอารมณ์อันแตกต่าง
โดยประเภทอารมณ์ 6 พร้อมวิญญาณกาย 6 อย่างย่อและตามความพอใจ
ของพาหิยะ ด้วยวิปัสสนา โดยโกุฏฐาสะทั้ง 4 มีรูปอันตนเห็นแล้วเป็นต้น
แล้วจึงทรงแสดงญาตปริญญาและตีรณปริญญาในข้อนั้นแก่เธอ. อย่างไร ?
เพราะว่า ในข้อนี้รูปารมณ์เป็นอันชื่อว่า ทิฏฐะ เพราะอรรถว่าอันจักขุ-
วิญญาณพึงเห็น. ส่วนจักขุวิญญาณพร้อมวิญญาณที่เป็นไปทางจักขุทวาร
นั้น ชื่อว่า ทิฏฐะ เพราะอรรถว่าเห็น. แม้ทั้งสองอย่างนั้น เป็นเพียง
ธรรมที่เป็นไปตามปัจจัยเท่านั้น. ในข้อนี้ ใคร ๆ จะทำเองหรือให้ผู้อื่น
ทำก็หาได้ไม่. จริงอยู่ ในข้อนี้ มีอธิบายดังนี้ ว่า จักขุวิญาณนั้นชื่อว่า
ไม่เที่ยง เพราะมีแล้วกลับไม่มี ชื่อว่า เป็นทุกข์ เพราะถูกความเกิดขึ้น
และดับไปบีบคั้น ชื่อว่า เป็นอนัตตา เพราะอรรถว่าไม่เป็นไปในอำนาจ
เหตุนั้น ในข้อนั้น จะจัดเป็นโอกาสของธรรมมีความกำหนัดเป็นต้นแห่ง
บัณฑิตได้ที่ไหน.
พึงทราบวินิจฉัยแม้ในสุตะเป็นต้น บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงปหาน-
ปริญญาพร้อมมูลเหตุเบื้องสูง แก่บัณฑิตผู้ตั้งอยู่ในญาตปริญญาและตีรณ-
ปริญญา จึงเริ่มคำมีอาทิว่า ยโต โข เต พาหิย ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต ได้แก่ ในกาลใดหรือเพราะเหตุ
ใด. บทว่า เต ได้แก่ ตว แก่เธอ. บทว่า ตโต ได้แก่ ในกาลนั้นหรือ
เพราะเหตุนั้น. บทว่า เตน ความว่า ด้วยรูปอันเธอเห็นแล้วเป็นต้น
หรือด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น อันเนื่องกับรูปที่เธอเห็นแล้วเป็นต้น. ตรัส
คำนี้ไว้ว่า พาหิยะ ในกาลใด หรือเพราะเหตุใด เพียงรูปที่เธอเห็นแล้ว
เป็นต้น จักมีแก่เธอผู้ปฏิบัติตาม วิธีที่เรากล่าวแล้วในรูปที่เห็นแล้ว

เป็นต้น ด้วยการหยั่งรู้สภาพที่ไม่วิปริต ในกาลนั้นหรือเพราะเหตุนั้น
เธอจักไม่มีพร้อมด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น ที่เนื่องด้วยรูปที่เธอเห็นแล้ว
เป็นต้น เธอจักเป็นผู้ไม่กำหนัด ขัดเคือง หรือลุ่มหลง หรือจักไม่เป็น
ผู้เนื่องกับรูปที่เธอเห็นแล้วเป็นต้นนั้น เพราะละราคะเป็นต้นได้แล้ว.
บทว่า ตโต ตฺวํ พาหิย น ตตฺถ ความว่า ในกาลใดหรือเพราะเหตุใด
เธอจักเป็นผู้กำหนัดเพราะราคะนั้น ขัดเคืองเพราะโทสะ หรือลุ่มหลง
เพราะโมหะ ในกาลนั้นหรือเพราะเหตุนั้น เธอจักไม่มีในรูปที่เห็นแล้ว
เป็นต้นนั้น หรือเมื่อรูปนั้นที่เห็นแล้ว หรือเสียงและอารมณ์ที่ทราบแล้ว
เธอจักไม่เป็นผู้ข้องตั้งอยู่ด้วยตัณหามานะและทิฏฐิว่า นั่นของเรา เราเป็น
นั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา. ด้วยคำเพียงเท่านี้ พระองค์ทรงให้ปหาน-
ปริญญาถึงที่สุดแล้วแสดงขีณาสวภูมิ. บทว่า ตโต ตฺวํ พาหิย เนวิธ น
หุรํ น อุภยมนฺตเรน
ความว่า พาหิยะ ในกาลใด เธอจักไม่เป็นผู้เกี่ยว
เนื่องในรูปที่เห็นแล้วเป็นต้นนั้น ด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้นนั้น ในกาลนั้น
เธอจักไม่มีในโลกนี้ ในโลกหน้าและในโลกทั้งสอง. บทว่า เอเสวนฺโต
ทุกฺขสฺส
ความว่า จริงอยู่ ในข้อนี้ มีอธิบายเพียงเท่านี้ ว่า ก็ที่สุด เขต
กำหนด และความหมุนเวียนแห่งกิเลส ทุกข์และวัฏทุกข์เท่านี้. ก็อาจารย์
เหล่าใดถือบทว่า อุภยมนฺตเรน แล้วจึงปรารถนาชื่อระหว่างภพ คำของ
อาจารย์เหล่านั้นผิด. จริงอยู่ ภาวะระหว่างภพท่านคัดค้านแล้วในพระ-
อภิธรรมทีเดียว. ก็คำว่า อนฺตเรน เป็นการแสดงวิกัปอื่น. เพราะเหตุนั้น
ในข้อนี้ มีอธิบายดังนี้ว่า ก็วิกัปอื่น ไม่มีในโลกนี้โลกหน้าหรือทั้งสอง.
อีกอย่างหนึ่ง คำว่า อนฺตเรน เป็นการแสดงความไม่มีวิกัปอื่น. คำนั้น
อธิบายดังนี้ว่า ก็ที่ตั้งอื่นไม่มีโนโลกนี้โลกหน้า ถึงระหว่างภพก็ไม่มี.

อนึ่ง อาจารย์แม้เหล่าใด ถือเอาโดยไม่แยบคายซึ่งอรรถสุตตบทเหล่านี้ว่า
อันตราปรินิพพายี และว่าสัมภเวสี แล้วกล่าวว่า ภพอื่นยังมีอยู่เหมือนกัน
อาจารย์แม้เหล่านั้น เพราะถูกคัดค้านว่า อรรถสุตตบทต้นว่า ชื่อว่า
อันตราปรินิพพายี เพราะไม่ผ่านท่ามกลางอายุในภูมินั้นมีอวิหาพรหม
เป็นต้น แล้วปรินิพพานด้วยกิเลสปรินิพพานสิ้นเชิง เพราะบรรลุอรหัต-
มรรคในระหว่าง หาได้มีในภพอื่นไม่ และถูกคัดค้านอรรถสุตตบทหลัง
ว่า สัตว์เหล่าใดจักไม่เป็นอย่างนั้น สัตว์เหล่านั้น จักเป็นผู้สิ้นอาสวะมี
ในภพก่อน อธิบายว่า ชื่อว่า สัมภเวสี เพราะแสวงหาภพใหม่ผิดตรงข้าม
กับอันตราปรินิพพายีบุคคลนั้น และชื่อว่า เสขปุถุชน เพราะยังละภวสัง-
โยชน์ไม่ได้ อนึ่ง บรรดากำเนิด 4 อัณฑชสัตว์และชลาพุชสัตว์ ยังไม่ทำ
ลายกระเปาะไข่หรือกระเปาะหัวไส้อยู่ตราบใด ก็ชื่อว่า สัมภเวสีอยู่ตราบนั้น
สัตว์ที่ออกไปจากกระเปาะไข่และกระเปาะหัวไส้ ก็ชื่อว่า สัมภเวสีอยู่ตราบนั้น
และอุปปาติกสัตว์ ชื่อว่าสัมภเวสี ในขณะจิตดวงแรก ตั้งแต่ขณะจิตดวงที่ 2
ไป ชื่อว่า ภูต อนึ่ง สัตว์ทั้งหลายเกิดด้วยอิริยาบถใด ยังไม่ถึงอิริยาบถ
อื่นจากนั้นตราบใด ก็ยังชื่อว่า สัมภเวสี อยู่ตราบนั้น ต่อจากนั้น จัดเป็น
ภูต เพราะเหตุนั้น จึงถูกคัดค้านว่าไม่มีดังนี้. ก็เมื่อมีอรรถที่คล้อยตาม
บาลีตรง ๆ จะเป็นประโยชน์อะไรด้วยอรรถที่กำหนดด้วยภพอื่นซึ่งไม่
สามารถจะขยายได้แล. ก็อาจารย์เหล่าใดกล่าวข้อยุติว่า จะเห็นธรรมที่
เป็นไปด้วยความสืบต่อปรากฏในส่วนอื่นไม่ขาดสาย ข้อนั้นพึงปรากฏแม้
ในความสืบต่อแห่งอวิญญาณกทรัพย์มีข้าวเปลือกเป็นต้น ฉันใด แม้ใน
ความสืบต่อแห่งสวิญญาณกสังขาร ก็พึงปรากฏในส่วนอื่นโดยไม่ขาดสาย
ฉันนั้น อนึ่ง นัยนี้ย่อมเหมาะในเมื่อมีภพอื่น หาใช่โดยประการอื่นไม่.

ก็เพราะเหตุนั้น ท่านผู้มีฤทธิ์บรรลุความเชี่ยวชาญทางใจ อธิษฐานกาย
คล้อยตามจิต พึงคัดค้านข้อยุติ โดยการจากพรหมโลกมายังโลกนี้ หรือ
จากโลกนี้ไปยังพรหมโลกขณะเดียวกัน ถ้าปรารถนาความเป็นไปของ
ธรรมในส่วนที่ไม่ขาดสายในที่ทุกสถานไซร้ แม้ถ้าท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย
จะพึงมีอิทธิวิสัยเป็นอจินไตยไซร้ คำนั้นจะพึงเสมอกันแม้ในที่นี้ เพราะ
พระบาลีว่า กมฺมวิปาโก อจินฺเตยฺโย ผลกรรมเป็นอจินไตย เพราะเหตุ
นั้น คำนั้นเป็นเพียงมติของอาจารย์เหล่านั้นเท่านั้น. เพราะว่า สภาวธรรม
มีสภาพเป็นอจินไตย สภาวธรรมเหล่านั้นบางแห่งจึงปรากฏในส่วนที่ขาด
สายด้วยปัจจัย บางแห่งปรากฏในส่วนที่ไม่ขาดสาย. จริงอย่างนั้น สิ่งที่เกิด
ขึ้นเพราะปัจจัยมีรูปเปรียบและเสียงสะท้อนเป็นต้น ย่อมเกิดปรากฏในส่วน
หนึ่งมีส่วนแห่งกระจกและภูเขาเป็นต้น จากปัจจัยมีเสียงกึกก้องข้างหน้า
เป็นต้น. เพราะเหตุนั้น จึงไม่พึงน้อมสิ่งทั้งหมดในที่ทุกอย่างแล. ในข้อนี้
มีความสังเขปเท่านี้. ส่วนความพิสดารมีการวิจารณ์เรื่องของภพอื่นอันให้
สำเร็จอุทาหรณ์เป็นต้นของรูปเปรียบ พึงค้นดูในฎีกากถาวัตถุปกรณ์เถิด.
ส่วนอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า บทว่า อิธ ท่านกล่าวหมายเอา กามภพ.
บทว่า หุรํ กล่าวหมายเอาอรูปภพ. บทว่า อุภยมนฺตเรน กล่าวหมาย
เอารูปภพ. อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า บทว่า อิธ ได้แก่ อายตนะภายใน.
บทว่า หุรํ ได้แก่ อายตนะภายนอก. บทว่า อุภยมนฺตเรน ได้แก่
จิตและเจตสิก. อีกอย่างหนึ่ง อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า บทว่า อิธ
กล่าวว่า ปัจจยธรรม. บทว่า หุรํ กล่าวว่า ปัจจยุปปันธรรม ธรรมเกิด
แต่ปัจจัย . บทว่า อุภยมนฺตเรน กล่าวว่า บัญญัติธรรม. คำนั้นทั้งหมด
ไม่มีในอรรถกถา. ธรรมอันเป็นไปในภูมิ 3 พึงสงเคราะห์ด้วยอาการ 4

โดยรูปที่จักขุวิญญาณเห็นแล้วเป็นต้น ด้วยคำมีอาทิว่า ทิฏฺเฐ ทิฏฺฐมตฺตํ
ภวิสฺสติ
เมื่อจักขุวิญญาณเห็นรูป ก็เป็นเพียงแต่เห็น อย่างนี้ก่อน ใน
ธรรมเหล่านั้น ท่านแสดงถึงอสุภภาวนา ทุกขานุปัสสนา อนิจจานุปัสสนา
และอนัตตานุปัสสนา โดยมุขคือการเว้นจากการยึดถือว่างาม เป็นสุข เป็น
ของเที่ยง และเป็นตัวตนแล. เมื่อว่าโดยสังเขป ท่านกล่าววิปัสสนากับ
วิสุทธิเบื้องต่ำ. ด้วยคำว่า ตโต ตฺวํ พาหิย น เตน นี้ ตรัสถึงมรรค
เพราะประสงค์เอาการตัดกิเลสมีราคะเป็นต้นได้เด็ดขาด. ด้วยคำว่า ตโต
ตฺวํ พาหิย น ตตฺถ ตรัสถึงผลจิต. ด้วยคำว่า เนวิธา เป็นต้น พึง
เห็นว่า ตรัสถึงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
อถ โข พาหิย ฯ เป ฯ อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ ดังนี้.
จิตของท่านพาหิยะหลุดพ้นจากอาสวะด้วยการแสดงบทย่อนี้. บทว่า
ตาวเทว ได้แก่ ในขณะนั้นนั่นเองไม่ใช่กาลอื่น. บทว่า อนุปาทาย
แปลว่า ไม่ยึดมั่น. บทว่า อาสเวหิ ความว่า จากกามราคะเป็นต้นที่มี
ชื่อว่า อาสวะ เพราะไหลไปคือเป็นไปจากภวัคคพรหมถึงโคตรภู และ
เป็นเหมือนเครื่องหมักดองมีสุราเป็นต้นโดยอรรถว่าหมักไว้นาน. บทว่า
วิมุจฺจติ ความว่า หลุดพ้นคือสลัดออก (กามราคะเป็นต้น ) ด้วยสมุจเฉท-
วิมุตติและปฏิปัสสัทธิวิมุตติ.
ก็ท่านพาหิยะนั้นพอฟังธรรมของพระศาสดาเท่านั้น ชำระศีลให้
หมดจด อาศัยสมาธิจิตตามที่ได้แล้วเริ่มวิปัสสนาเป็นขิปปาภิญญาบุคคล ให้
อาสวะทั้งปวงสิ้นไปบรรลุพระอรหัตพร้อมปฏิสัมภิทาขณะนั้นนั่นเอง. ท่าน
ตัดกิเลสดุจกระแสน้ำในสงสาร ทำที่สุดแห่งวัฏทุกข์ทรงร่างกายครั้งสุดท้าย
ถูกธรรมดาเป็นไปด้วยปัจจเวกขณญาณ 19 อย่างตักเตือน จึงทูลขอบวช

กะพระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกตรัสถามว่า เธอมีบาตรและจีวรบริบูรณ์แล้ว
หรือ กราบทูลว่ายังไม่บริบูรณ์ พระเจ้าข้า ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะ
เธอว่า ถ้าเช่นนั้น เธอจงแสวงหาบาตรและจีวร ดังนี้แล้วเสด็จหลีกไป.
เพราะเหตุนั้น จึงกล่าวว่า อถ โข ภควา ฯ เป ฯ ปกฺกามิ ดังนี้.
ได้ยินว่า ท่านพาหิยะนั้น เมื่อกระทำสมณธรรมสิ้น 20,000 ปี
ในพระศาสนาของพระกัสสปทศพลคิดว่า ธรรมดาว่า ภิกษุ เมื่อตนได้
ปัจจัยแล้วทำทานตามสมควรจึงฉันด้วยตนจึงควร ดังนี้แล้วไม่ได้ทำการ
สงเคราะห์ด้วยบาตรหรือจีวรแม้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง. เหตุนั้น ท่านจึงไม่มี
อุปนิสัยเอหิภิกขุอุปสัมปทา. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ได้ยินว่า ท่าน
เป็นโจรคราวว่างพระพุทธเจ้า ผูกมัดธนูตั้งตัวเป็นโจรในป่าเห็นพระ-
ปัจเจพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เพราะความโลภในบาตรและจีวร จึงใช้ธนูยิงท่าน
แล้วถือเอาบาตรและจีวรไป ด้วยเหตุนั้น บาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์
จักไม่เกิดแก่ท่าน พระศาสดาทรงทราบดังนั้นแล้ว จึงมิได้ทรงประทาน
บรรพชาด้วยเอหิภิกขุแล. แม้ท่านกำลังเที่ยวแสวงหาบาตรและจีวรอยู่
แม่โคตัวหนึ่งวิ่งมาโดยเร็วขวิดให้เธอถึงสิ้นชีวิต ซึ่งท่านหมายกล่าวว่า
อถ โข อจิรปกฺกนฺตสฺส ภควโต พาหิยํ ทารุจีริยํ คาวี ตรุณวจฺฉา
อธิปติตฺวา ชีวิตา โวโรเปสิ
ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จ
หลีกไปไม่นาน แม่โคลูกอ่อนขวิดท่านพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงสิ้นชีวิต.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อจิรปกฺกนฺตสฺส แปลว่า เมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปไม่นาน. บทว่า คาวี ตรุณวจฺฉา ได้แก่ นาง-
ยักษิณีแปลงเป็นแม่โคลูกอ่อน. บทว่า อธิปติตฺวา ได้แก่ กดขี่คือย่ำยี.
บทว่า ชีวิตา โวโรเปสิ ความว่า แม่โคนั้น ให้เกิดจิตก่อเวรขึ้นด้วย

เหตุเพียงได้เห็น เพราะได้ความอาฆาตในอัตภาพก่อนจึงเอาเขาขวิดให้สิ้น
ชีวิต.
พระศาสดาทรงบาตรแล้วเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้วพร้อมภิกษุ
จำนวนมากเสด็จออกจากนคร ทอดพระเนตรเห็นท่านพาหิยะตกอยู่ที่กอง
หยากเยื่อ ทรงบัญชาภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอยืนอยู่ที่ประตู
เรือนหลังหนึ่งช่วยกันนำเตียงออกมา นำร่างนี้ออกไปจากนครทำฌาปนกิจ
ก่อสถูปไว้. ภิกษุทั้งหลายได้ทำอย่างนั้น. ก็แลครั้นทำแล้วไปยังวิหารเฝ้า
พระศาสดากราบทูลกิจที่ตนทำแล้ว จึงทูลถามถึงอภิสัมปรายภพของท่าน
พาหิยะ. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสบอกแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า
ท่านพาหิยะปรินิพพานแล้ว. ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ขอพระองค์จงตรัสบอกว่า ท่านพาหิยทารุจีริยะบรรลุพระอรหัต
แล้วหรือ ท่านบรรลุพระอรหัตที่ไหน. และเมื่อตรัสว่า ในเวลาที่ฟัง-
ธรรมของเรา พวกภิกษุจึงทูลถามว่า ก็พระองค์แสดงธรรมแก่ท่านใน
เวลาไหน. พระศาสดาตรัสว่า เมื่อเรากำลังบิณฑบาตยืนอยู่ระหว่างถนน
วันนี้เอง. ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมที่พระองค์
ยืนตรัสในระหว่างถนนนั้นมีประมาณน้อย ท่านทำคุณวิเศษให้เกิดด้วย
เหตุเพียงเท่านั้นได้อย่างไร. พระศาสดาเมื่อทรงแสดงว่า ภิกษุทั้งหลาย
เธออย่าประมาณธรรมของเราว่ามีน้อยหรือมาก แม้คาถาตั้งหลายพันแต่
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ไม่ประเสริฐเลย ส่วนบทคาถาแม้บทเดียวซึ่ง
ประกอบด้วยประโยชน์ยังประเสริฐกว่า จึงตรัสคาถานี้ในธรรมบทว่า
สหสฺสมปิ เจ คาถา อนตฺถปทสญฺหิตา
เอกํ คาถาปทํ เสยฺโย ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ.

ถ้าคาถาแม้ตั้งพัน แต่ประกอบด้วยบทอันไม่เป็น
ประโยชน์ บทคาถาบทเดียวซึ่งบุคคลฟังแล้วย่อม
สงบระงับได้ยังประเสริฐกว่า
ดังนี้.
เมื่อทรงแสดงว่า เธอเป็นผู้ควรแก่การบูชาด้วยเหตุเพียงปรินิพพาน
อย่างเดียวก็หาไม่ โดยที่แท้เธอเป็นผู้สมควรแก่การบูชาแม้ด้วยภาวะอัน
เลิศกว่าภิกษุสาวกของเราผู้เป็นขิปปาภิญญา จึงทรงสถาปนาท่านไว้ใน
เอตทัคคะว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวกผู้เป็นขิปปาภิญญา ท่าน
พาหิยทารุจีริยะเป็นเลิศ ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า อถ โข ภควา สาวตฺถิยํ
ปิณฺฑาย จริตฺว ฯ เป ฯ ปริพิพฺพุโต ภิกฺขเว พาหิโย ทารุจีรโย
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปจฺฉาภตฺตํ ได้แก่ หลังจากเสวยพระ-
กระยาหารเสร็จแล้ว. บทว่า ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต ได้แก่ เสด็จกลับ-
จากทรงบิณฑบาต. แม้ทั้งสองบท ท่านก็อธิบายว่า เสวยพระกระยาหาร
เสร็จแล้ว. บทว่า นีหริตฺวา ความว่า ให้นำออกไปภายนอกพระนคร. บท
ว่า ฌาเปถ แปลว่า จงทำฌาปนกิจ. บทว่า ถูปญฺจสฺส กโรถ ความว่า
และจงนำสรีรธาตุของท่านพาหิยะมาก่อพระเจดีย์ไว้. ในข้อนั้น พระองค์
ตรัสเหตุไว้ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพื่อนสพรหมจารีของพวกเธอ
ปรินิพพานแล้ว. ข้อนั้นมีอธิบายว่า ท่านพาหิยะนั้นได้ประพฤติธรรมคือ
ข้อปฏิบัติมีอธิศีลเป็นต้น ที่พวกเธอประพฤติแล้วและกำลังประพฤติอยู่ที่
ชื่อว่าพรหม เพราะอรรถว่าประเสริฐ ได้ประเสริฐเสมอกับพวกเธอ
เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สพรหมจารี ได้ทำกาละแล้วตามปกติแห่งมรณกาล
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า พวกเธอจงเอาเตียงหามสรีระ

ของท่านไปทำฌาปนกิจ และก่อสถูปของท่านไว้. บทว่า ตสฺส กา คติ
ความว่า บรรดาคติทั้ง 5 ท่านมีคติอุปบัติภพเป็นอย่างไร. อนึ่ง บทว่า
คติ แปลว่าบังเกิด อธิบายว่า คติของท่านตกลงอย่างไรว่าเป็นพระอริยะ
หรือปุถุชน. บทว่า อภิสมฺปราโย ได้แก่ ท่านละไปแล้วเกิดในภพหรือ
ดับในภพ. ว่าโดยอรรถ เป็นอันทรงประกาศว่าท่านปรินิพพานด้วยการ
ตรัสสั่งสร้างสถูปไว้ ก็จริง แต่ถึงกระนั้น เหล่าภิกษุผู้ไม่รู้ด้วยเหตุเพียง
เท่านั้นก็จะทูลถามว่า คติของท่านเป็นอย่างไร หรือผู้ประสงค์จะให้ทำให้
ปรากฏชัด จึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนั้น.
บทว่า ปณฺฑิโต โดยความว่า ชื่อว่าบัณฑิต เพราะไป คือดำเนินไป
ได้แก่เป็นไปด้วยปัญญา ชื่อว่าปัณฑะ เพราะบรรลุด้วยปัญญาอันสัมปยุต
ด้วยอรหัตมรรค. บทว่า ปจฺจปาที แปลว่า ดำเนินไปแล้ว. บทว่า
ธมฺมสฺส ได้แก่ โลกุตรธรรม. บทว่า อนุธมฺมํ ได้แก่ ธรรมคือ
ปฏิปทามีสีลวิสุทธิเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ธมฺมสฺส ได้แก่ นิพพาน-
ธรรม. บทว่า อนุธมฺมํ ได้แก่ ธรรมคืออริยมรรคและอริยผล. บทว่า
น จ มํ ธมฺมาธิกรณํ ความว่า ก็เหตุแห่งการแสดงธรรม ไม่ทำเราให้
ลำบาก เพราะปฏิบัติตามที่ทรงพร่ำสอน. จริงอยู่ ท่านฟังธรรมหรือเรียน
กรรมฐานในสำนักของพระศาสดา ไม่ปฏิบัติธรรมตามที่ทรงพร่ำสอน
ชื่อว่า ทำพระศาสดาให้ทรงลำบาก ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า
วิหึสสญฺญี ปคุณํ น ภาสึ
ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรหฺเม

เรามีความสำคัญในความลำบาก จึงไม่กล่าวธรรม
ให้คล่องแคล่ว ให้ประณีต ในหมู่ชน ในหมู่พรหม.

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า น จ มํ ธมฺมาธิกรณํ ความว่า จะเป็นเหตุ
แห่งธรรมนี้ก็หามิได้. ท่านอธิบายคำนี้ไว้ว่า ชื่อว่า ไม่ทำเราให้ลำบาก
เพราะปฏิบัติศาสนธรรมของเรานี้ด้วยดี อันเป็นเหตุนำสรรพสัตว์ออกจาก
วัฏทุกข์. ก็ผู้ปฏิบัติชั่ว ทำลายศาสนธรรม ชื่อว่าให้การประหารสรีระ
คือธรรมของพระศาสดา. แต่ท่านพาหิยะนี้ทำสัมมาปฏิบัติให้ถึงที่สุดแล้ว
ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสว่า
ปรินิพฺพุโต ภิกฺขเว พาหิโย ทารุจีริโย.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบว่าพระพาหิยเถระ
ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ และว่าคติของพระขีณาสพทั้ง-
หลายผู้ปรินิพพานแล้วเช่นนั้นอันคนจำนวนมากรู้ได้ยาก โดยอาการทั้ง-
ปวง. บทว่า อิมํ อุทานํ ได้แก่ ทรงเปล่งอุทานอันแสดงอานุภาพแห่ง
ปรินิพพานอันไม่ประดิษฐานอยู่แล้วนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยตฺถ ความว่า อาโปธาตุ ปฐวีธาตุ
เตโชธาตุ และวาโธธาตุไม่หยั่งลงคือไม่ประดิษฐานอยู่ในนิพพานธาตุใด.
เพราะเหตุไร ? เพราะพระนิพพานมีสภาวะเป็นอสังขตรรม. จริงอยู่ แม้สิ่ง
เล็กน้อยแห่งสังขตธรรมก็ไม่มีในพระนิพพานนั้น. บทว่า สุกฺกา ความว่า
ดาวพระเคราะห์และดาวนักษัตรอันได้ชื่อว่า สุกกะ เพราะมีรัศมีขาว ไม่
โชติช่วงคือไม่สว่างไสว. บทว่า อาทิจฺโจ นปฺปกาสติ ความว่า แม้
พระอาทิตย์อันสามารถแผ่แสงสว่างไปขณะเดียว 3 ทวีป ก็ไม่แผดแสง
ด้วยอำนาจรัศมี. บทว่า น ตตฺถ จนฺทิมา ภาติ ความว่า แม้เมื่อ
พระอาทิตย์มีรัศมีแรงกล้า ฝ่ายพระจันทร์มีรัศมีเยือกเย็นน่าใคร่ ก็ไม่รุ่ง-

โรจน์ เพราะกำจัดรัศมีอันสว่างของตน เหตุที่ไม่มีในพระนิพพานนั้น.
พระองค์ตรัสว่า ตโม ตตฺถ น วิชฺชติ ความมืดไม่มีในพระนิพพาน
นั้น ดังนี้ ทรงหมายเอาความสงสัยว่า ถ้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่มี
ในพระนิพพานนั้นไซร้ พระนิพพานนั้นก็จะพึงมืดมิดทีเดียว ดุจโลกันต-
นรก. จริงอยู่ เมื่อรูปมี ความมืดก็มี. บทว่า ยทา จ อตฺตนา เวทิ
มุนิ โมเนน พฺราหฺมโณ
ความว่า พราหมณ์ผู้เป็นพระอริยสาวก ซึ่ง
ได้นามว่ามุนี เพราะประกอบด้วยมรรคญาณอันได้ชื่อว่าโมนะ เพราะรู้
สัจจะ 4 และประกอบด้วยโมเนยยปฏิปทาทางกายเป็นต้น ละอาการมีการ
ฟังตาม ๆ กันมาเป็นต้นด้วยตนคือตนเอง ในขณะอรหัตมรรค ในกาลใด
คือในเวลาใดด้วยปฏิเวธญาณ กล่าวคือโมนะนั้นนั่นเองแหละรู้ คือรู้แจ้ง
พระนิพพานกระทำให้ประจักษ์แก่ตน. ปาฐะว่า อเวทิ ดังนี้ก็มี. อธิบาย
ว่าได้รู้ทั่วถึง. ศัพท์ว่า อถ ในคำว่า อถ รูปา อรูปา จ สุขทุกฺขา ปมุจฺจติ
แปลว่า ภายหลังแต่การตรัสรู้พระนิพพานนั้น. บทว่า รูปา ได้แก่ รูป-
ธรรม. ด้วยบทว่ารูปานั้น เป็นอันท่านถือเอาปัญจโวการภพและเอกโว-
การภพ. บทว่า อรูปา ได้แก่อรูปธรรม. ด้วยบทว่าอรูปานั้น เป็นอันท่าน
ถือเอาอรูปภพ เพราะไม่เจือปนกับรูปที่เรียกว่า จตุโวการภพก็มี. บทว่า
สุขทุกฺขา ความว่า จากวัฏฏะแม้ที่มีทั้งสุขทั้งทุกข์อันเกิดขึ้นในที่ทุกแห่ง.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า รูปา ได้แก่ เพราะปฏิสนธิในรูปโลก. บทว่า อรูปา
ได้แก่ เพราะปฏิสนธิในอรูปโลก. บทว่า สุขทุกฺขา ได้แก่เพราะปฏิสนธิ
ในกามาวจรภูมิ. จริงอยู่ กามภพมีทั้งสุขและทุกข์เจือปนกัน. พราหมณ์นั้น
ย่อมพ้นจากวัฏฏะแม้ทั้งสิ้นนั้นโดยสิ้นเชิงทีเดียว ด้วยประการฉะนี้แล.

แม้ด้วยคาถา 2 คาถา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า พระ-
นิพพานเห็นปานนี้ เป็นคติแห่งพาหิยะผู้เป็นบุตรของเราแล.
จบอรรถกถาพาหิยสูตรที่ 10
จบโพธิวรรควรรณนาที่ 1

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
1. ปฐมโพธิสูตร 2. ทุติยโพธิสูตร 3. ตติยโพธิสูตร 4. อชปาล-
นิโครธสูตร 5. เถรสูตร 6. มหากัสสปสูตร 7. ปาวาสูตร 8. สังคามชิ-
สูตร 9. ชฏิลสูตร 10. พาหิยสูตร และอรรถกถา.

มุจจลินทวรรคที่ 2



1. มุจจลินทสูตร



ว่าด้วยความสุขที่ยอดเยี่ยมในโลก



[51] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ ประทับอยู่ที่ควงไม้
มุจลินท์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลา ก็สมัยนั้นแล พระผู้มี-
พระภาคเจ้าประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขด้วยบัลลังก์อันเดียวตลอด 7 วัน สมัย
นั้น อกาลเมฆใหญ่เกิดขึ้นแล้ว ฝนตกพรำตลอด 7 วัน มีลมหนาว
ประทุษร้าย ครั้งนั้นแล พญามุจลินทนาคราชออกจากที่อยู่ของตน มาวง
รอบพระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยขนดหาง 7 รอบ แผ่พังพานใหญ่
เบื้องบนพระเศียรด้วยตั้งใจว่า ความหมายอย่าได้เบียดเบียนพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ความร้อนอย่าได้เบียดเบียนพระผู้มีพระภาคเจ้า สัมผัสแห่งเหลือบ
ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานอย่าได้เบียดเบียนพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นพอล่วงสัปดาห์นั้นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากสมาธินั้น
ครั้งนั้น พญามุจลินทนาคราชทราบว่า อากาศโปร่ง ปราศจากเมฆแล้วจึง
คลายขนดหางจากพระกายพระผู้มีพระภาคเจ้า นิรมิตเพศของตนยืนอยู่
เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ประนมอัญชลีนมัสการพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าอยู่.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า