เมนู

9. ชฏิลสูตร



ว่าด้วยความสะอาดภายใน



[46] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ คยาสีสะประเทศ
ใกล้บ้านคยา ก็สมัยนั้นแล ชฎิลมากด้วยกันผุดขึ้นบ้าง ตำลงบ้าง ผุดขึ้น
และตำลงบ้าง รดน้ำบ้าง บูชาไฟบ้าง ที่แม่น้ำคยา ในสมัยหิมะตก
ระหว่าง 8 วัน ในราตรีมีความหนาวในเหมันตฤดู ด้วยคิดเห็นว่า ความ
หมดจดย่อมมีได้ด้วยการกระทำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตร
เห็นพวกชฎิลเหล่านั้น ผุดขึ้นบ้าง ตำลงบ้าง ผุดขึ้นและตำลงบ้าง รดน้ำ
บ้าง บูชาไฟบ้าง ที่ท่าแม่น้ำคยา ในสมัยหิมะตก ระหว่าง 8 วัน ใน
ราตรีมีความหนาวในเหมันตฤดู ด้วยคิดเห็นว่า ความหมดจดย่อมมีได้
ด้วยการกระทำนี้.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ความสะอาดย่อมไม่มีเพราะน้ำ (แต่) ชนเป็นอัน
มากยังอาบอยู่ในน้ำนี้ สัจจะ และธรรมมีอยู่ในผู้
ใด ผู้นั้นเป็นผู้สะอาดและเป็นพราหมณ์.

จบชฏิลสูตรที่ 9

อรรถกถาชฏิลสูตร



ชฏิลสูตรที่ 9 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า คยา ในคำว่า คยายํ นี้ เขาเรียกว่าบ้านบ้าง ท่าบ้าง. จริงอยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อประทับอยู่ในที่ไม่ไกลคยาคาม เขาเรียกว่าประทับ

อยู่ใกล้บ้านคยา. เมื่อประทับอยู่ในที่ไม่ไกลท่าคยา เขาก็เรียกว่าประทับอยู่
ใกล้ท่าคยาเหมือนกัน. จริงอยู่ ในคำว่า คยาติตฺถํ สระก็ดี แม่น้ำก็ดี
สายหนึ่งมีอยู่ในที่ไม่ไกลบ้าน ชื่อว่าคยา. ทั้งสองอย่างนั้น โลกิยมหาชน
เรียกกันว่า ท่าเป็นที่ลอยบาป. บทว่า คยาสีเส ความว่า ในที่นั้น มี
เขาลูกหนึ่งชื่อคยาสีสะมียอดคล้ายศีรษะช้าง เป็นที่มีศิลาคาดเหมือนกระ-
พองช้าง เป็นโอกาสพอภิกษุพันรูปอยู่ได้, พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ประทับ
อยู่ในที่นั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า คยายํ วิหรติ คยาสีเส.
บทว่า ชฏิลา ได้แก่ พวกดาบส. จริงอยู่ คาบสเหล่านั้น เขา
เรียกว่า ชฎิล ในที่นี้ เพราะเป็นผู้ทรงชฎา. บทว่า อนฺตรฏฐเก
หิมปาตสมเย
ความว่า ในเวลาหิมะตกมีปริมาณถึง 8 วัน คือ ในที่สุด
ของเดือนมาฆะอันเป็นภายในเหมันตฤดู 4 วัน ในวันต้นของเดือนผัค-
คณะ 4 วัน. บทว่า คยายํ อุมฺมุชฺชนฺติ ความว่า คนบางพวกดำลง
ทั้งตัวครั้งแรกในน้ำที่สมมุติกันว่าท่าน้ำนั้น จากนั้น ก็ผุดขึ้นว่ายลอยไป.
บทว่า นิมฺมุชฺชนติ ความว่า คำลงในน้ำเพียงศีรษะ. บทว่า อุมฺมุชฺช-
นิมฺมุชฺชนฺติ กโรนฺติ
ความว่า กระทำการผุดขึ้นดำลงบ่อย ๆ. จริงอยู่
ในการกระทำนั้น คนบางพวกมีความเห็นอย่างนี้ว่า ด้วยการผุดขึ้นคราว
เดียวเท่านั้น เป็นอันบริสุทธิ์จากบาป คนเหล่านั้นจึงกระทำเฉพาะการผุด
ขึ้นเท่านั้นแล้วก็ไป แต่การผุดขึ้นไม่มีในระหว่างการดดำลง เพราะฉะนั้น
ชนเหล่านั้นจึงกระทำเพียงการดำลง โดยไม่เว้น ฝ่ายชนผู้มีความเห็นอย่าง
นี้ว่า ด้วยการดำลงคราวเดียวเท่านั้น จึงเป็นอันบริสุทธิ์จากบาป จึงดำ
ลงเฉพาะคราวเดียว กระทำเพียงการผุดขึ้น โดยไม่เว้น ตามนัยที่กล่าว
แล้วนั่นแลแล้วก็หลีกไป. ฝ่ายชนที่มีความเห็นอย่างนี้ว่า ด้วยการคำลงที่

ท่านั้นแล เป็นการบริสุทธิ์จากบาป จึงดำลงที่ท่านั้นกลั้นลมหายใจสิ้น
ชีวิตลงในที่นั้นนั่นเอง เหมือนจมเหวทราย. อีกพวกหนึ่ง มีความเห็น
อย่างนี้ว่า ในการกระทำการผุดขึ้นคำลงบ่อย ๆ แล้วจึงอาบ เป็นการ
บริสุทธิ์จากบาป ชนเหล่านั้นจึงทำการผุดขึ้นและดำลงตลอดเวลา. ท่าน
หมายเอาคนเหล่านั้นทั้งหมดจึงกล่าวว่า ผุดขึ้นบ้าง ดำลงบ้าง ทั้งผุด
ทั้งดำบ้าง. ก็ในข้อนี้ การผุดขึ้นต้องมีการดำลงก่อนก็จริง ถึงกระนั้น
ชนผู้กระทำเฉพาะการดำลง มีเล็กน้อย ชนผู้ทำการผุดขึ้น และการดำลง
ผุดขึ้นทั้งสอง มีมาก เพราะฉะนั้น เพื่อจะแสดงภาวะที่ชนเหล่านั้นเป็น
ฝ่ายข้างมาก จึงกล่าวการผุดขึ้นก่อน. อนึ่ง คำว่า ชฏิลา ก็เหมือนกัน
ท่านกล่าวไว้ ก็เพราะพวกชฎิลเป็นฝ่ายข้างมาก อนึ่ง พวกพราหมณ์
แม้ทั้งศีรษะโล้นและเกล้าผมเป็นแหยม ผู้ต้องการความบริสุทธิ์ด้วยน้ำ
ย่อมกระทำอย่างนั้นที่ท่าน้ำนั้น ในกาลนั้น.
บทว่า โอสิญฺจนฺติ ความว่า บางพวกเอามือวักน้ำในสระแล้วรด
ศีรษะและตัวของตน อีกพวกหนึ่งเอาหม้อตักน้ำ ยืนที่ริมฝั่งแล้วกระทำ
เหมือนอย่างนั้น. บทว่า อคฺคึ ชุหนฺติ ความว่า บางพวกจัดแจงเวที
ที่ริมแม่น้ำคยา แล้วน้อมนำเครื่องอุปกรณ์มีบูชาด้วยฟืนและหญ้าคาเป็นต้น
เข้าไปบูชาไฟ คือบำเรอไฟ. บทว่า อิมินา สุทฺธิ ความว่า บางพวก
เป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า ความบริสุทธิ์จากมลทินคือบาป ได้แก่การ
ลอยบาปหรือความบริสุทธิ์จากสงสาร ย่อมมีด้วยการดำลงเป็นต้นในแม่
น้ำคยา และด้วยการบำเรอไฟนี้. ก็ในที่นี้ การดำลงเป็นต้นพึงเห็นว่า
ท่านกล่าวไว้เพียงเป็นตัวอย่าง.

ก็บรรดาคนเหล่านั้น บางพวกอยู่ในน้ำ บางพวกทำอัญชลีน้ำ
บางพวกยืนในน้ำแล้วหันตามพระจันทร์พระอาทิตย์ บางพวกอ่านฉันท์มี
สาวิตติฉันท์เป็นต้นหลายพันครั้ง บางพวกก็ร่ายวิชาโดยนัยมีอาทิว่า อินฺท
อาคจฺฉ จงมาเถิดท่านอินท์ บางพวกกระทำมหกรรม. ก็เมื่อกระทำอย่าง
นี้ บางพวกลง บางพวกขึ้น บางพวกขึ้นมาแล้วก็ทำการชำระล้างให้
สะอาด บางพวกยืนอยู่ในน้ำ ถูกความหนาวบีบคั้น จึงแสดงกิริยามีประ-
การต่าง ๆ มีอาทิอย่างนี้ เช่นบรรเลงพิณที่ทำด้วยงาช้างเป็นต้น. อีกอย่าง
หนึ่ง เพราะเหตุที่พวกเหล่านั้น เมื่อกระทำกิริยาอันแปลกเห็นปานนี้ ก็
ทำเฉพาะการดำลงและผุดขึ้นเป็นเบื้องต้นในน้ำนั้นเท่านั้น ฉะนั้น ท่าน
กระทำเหตุทั้งหมดนั้น ให้อยู่ภายในการดำลงและผุดขึ้นเท่านั้น จึงกล่าว
คำมีอาทิว่า อุมมุชฺชนฺติปิ.
เมื่อเสียงอากุลพยากุละดังสนั่นอยู่ในที่นั้นอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับยืนบนยอดเขา ทรงสดับเสียงโกลาหลนั้นของตนเหล่านั้น จึงทรง
ตรวจดูว่า นี้ เหตุอะไรหนอ ได้ทรงเห็นกิริยาอันแปลกนั้น ท่านหมายเอา
ข้อนั้น จึงได้กล่าวดังนี้ว่า อทฺทสา โข ภควา ฯ เป ฯ อิมินา สุทฺธิ.
คำนั้นมีเนื้อความดังกล่าวแล้วนั้นแล.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงรู้แจ้งความนั้น คือการ
ที่คนเหล่านั้นยึดมั่นทางที่ไม่บริสุทธิ์มีการลงน้ำเป็นต้นว่า เป็นทางบริสุทธิ์
และการที่พระองค์หยั่งรู้ในทางที่บริสุทธิ์มีสัจจะเป็นต้นว่าไม่ผิดพลาด โดย
อาการทั้งปวง. บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้ คือที่
แสดงความไม่เป็นทางบริสุทธิ์ด้วยความบริสุทธิ์เพราะน้ำ และแสดงถึง
ธรรมมีสัจจะเป็นต้นเป็นทางบริสุทธิ์ตามความเป็นจริง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทเกน ในคำว่า น อุทเกน สุจี โหติ
นี้ ได้แก่ ด้วยการผุดขึ้นจากน้ำเป็นต้น. ก็ในที่นี้ การผุดขึ้นจากน้ำ
ท่านกล่าวว่า อุทกํ น้ำ เพราะลบบทปลายเหมือนอุทาหรณ์ว่า รูปภโว รูปํ
รูปคือรูปภพ. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อุทเกน ความว่า ความสะอาด
ด้วยน้ำอันเป็นตัวทำกิริยามีการผุดขึ้นเป็นต้น ไม่ชื่อว่าเป็นความบริสุทธิ์
ของสัตว์ คือไม่มี. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สุจิ ความว่า ความบริสุทธิ์
ด้วยน้ำตามที่กล่าวแล้วนั้น ไม่เป็นสัตว์ ชื่อว่าผู้บริสุทธิ์จากมลทินคือบาป.
เพราะเหตุไร ? เพราะชนเป็นอันมากอาบน้ำนี้. เพราะถ้าชื่อว่าความ
บริสุทธิ์จากบาป จะพึงมีเพราะการลงน้ำเป็นต้น ตามที่กล่าวแล้วไซร้
ชนเป็นอันมากก็จะพากันอาบน้ำนี้ คือคนผู้ทำกรรมชั่วมีมาตุฆาตเป็นต้น
และสัตว์อื่นมีโคกระบือเป็นต้น ชั้นที่สุดปลาและเต่าก็จะพากันอาบน้ำนี้
คนและสัตว์ทั้งหมดนั้น ก็จะพลอยบริสุทธิ์จากบาปไปด้วย แต่ข้อนั้นหา
เป็นอย่างนั้นไม่. เพระเหตุไร ? เพราะการอาบน้ำไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อเหตุ
แห่งบาป. ก็สิ่งใดทำสิ่งใดให้พินาศไปได้ สิ่งนั้นก็เป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งนั้น
เหมือนแสงสว่างเป็นปฏิปักษ์ต่อความมืด และวิชชาเป็นปฏิปักษ์ต่ออวิชชา
การอาบน้ำหาเป็นปฏิปักษ์ต่อบาปเช่นนั้นไม่. เพราะฉะนั้น จึงควรตกลง
ในข้อนี้ว่า ความสะอาดย่อมไม่มีเพราะน้ำ. ก็เพื่อจะแสดงธรรมอันเป็น
เหตุทำให้สะอาด จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ยมฺหิ สจฺจญฺจ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยมฺหิ ได้แก่ ในบุคคลใด. บทว่า
สจฺจํ ได้แก่ วจีสัจจะและวิรัติสัจจะ อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สจฺจํ ได้แก่
ญาณสัจจะและปรมัตถสัจจะ. บทว่า ธมฺโม ได้แก่ ธรรมคืออริยมรรค
และธรรมคือผลจิต. ธรรมทั้งหมดนั้น ย่อมได้ในบุคคลใด. บทว่า โส

สุจี โส จ พฺราหฺมโณ ความว่า บุคคลนั้น คือ พระอริยบุคคล โดย
พิเศษ ได้แก่พระขีณาสพ ชื่อว่าเป็นผู้สะอาด และชื่อว่าเป็นพราหมณ์
เพราะเป็นผู้หมดจดโดยสิ้นเชิง. ก็เพราะเหตุไร ในข้อนี้สัจจะท่านจึงแยก
ถือเอาจากธรรม ? เพราะสัจจะมีอุปการะมาก. จริงอย่างนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้ทรงประกาศคุณของสัจจะไว้ในสุตตบทเป็นอันมาก โดยนัย
มีอาทิว่า คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย. สัจจะแลดีกว่ารสทั้งหลาย. บัณฑิต
ทั้งหลายกล่าวผู้ตั้งอยู่ในสัจจะอันเป็นอรรถและธรรมว่าเป็นสัตบุรุษ และ
ว่า สมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในสัจจะ. ประกาศโทษของธรรมที่ตรงกันข้าม
กับสัจจะโดยนัยมีอาทิว่า สัตว์ผู้มักพูดเท็จล่วงธรรมเอกเสีย และว่า ผู้พูด
คำอันไม่เป็นจริงย่อมเข้าถึงนรกแล.
จบอรรถกถาชฏิลสูตรที่ 9

10. พาหิยสูตร



ว่าด้วยการตรัสถึงที่สุดทุกข์



[47] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล กุล-
บุตรชื่อพาหิยทารุจีริยะอาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะ ใกล้ฝั่งสมุทร เป็นผู้อัน
มหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ครั้งนั้นแล พาหิยทารุจีริยะหลีกเร้นอยู่ในที่
ลับ เกิดความปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า เราเป็นคนหนึ่งในจำนวนพระ-