เมนู

อรรถกถาสังคามชิสูตร



สังคามชิสูตรที่ 8 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สงฺคามชิ ได้แก่ มีชื่ออย่างนี้. จริงอยู่ ท่านผู้มีอายุนี้ เป็น
บุตรของเศรษฐีมีสมบัติมากท่านหนึ่งในเมืองสาวัตถี เวลาเจริญวัย มารดา
บิดาให้มีเหย้าเรือนโดยสมควร มอบทรัพย์สมบัติให้ ให้อยู่ครองเรือน.
วันหนึ่ง เขาเห็นอุบาสกชาวกรุงสาวัตถี กำลังถวายทาน สมาทานศีล
ตอนเช้า นุ่งห่มผ้าขาว ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ตรงไปยังพระ-
เชตวันเพื่อฟังธรรมตอนเย็น จึงถามว่า ท่านทั้งหลายไปไหนกัน เมื่อเขา
ตอบว่า ไปสำนักพระศาสดาในพระเชตวันเพื่อฟังธรรม จึงกล่าวว่า ถ้า
เช่นนั้น แม้ฉันก็จะไป จึงได้ไปกับพวกเหล่านั้น. สมัยนั้นแล พระผู้-
มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือบวรพุทธอาสน์ที่เขาบรรจงจัดไว้ ณ มณฑป
สำหรับฟังพระสัทธรรม แสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท 4 เหมือน
ไกรสรราชสีห์บันลือสีหนาทในถ้ำทอง. ครั้งนั้นแล อุบาสกเหล่านั้น
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ฝ่ายสังคามชิ
กุลบุตร นั่งฟังธรรมอยู่ท้ายบริษัทนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุปุพพิ-
กถาประกาศสัจจะ 4 ในเวลาจบสัจจะ สัตว์หลายพันได้ตรัสรู้ธรรม.
ฝ่ายสังคามชิกุลบุตร ก็บรรลุโสดาปัตติผล เมื่อบริษัทออกไปแล้ว เข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วทูลขอบรรพชาว่า ข้าแต่พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า โปรดให้ข้าพระองค์บรรพชาเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสถามว่า ก็มารดาบิดาอนุญาตให้เธอบรรพชาแล้วหรือ. เขากราบทูลว่า
ยังไม่ได้รับอนุญาต พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สังคามชิ
พระตถาคตเจ้าทั้งหลายไม่ยอมบวชบุตรที่มารดาบิดาไม่อนุญาต. เขากราบ

ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นั้น จักกระทำโดยที่มารดาบิดา
อนุญาตติให้ข้าพระองค์บวช ดังนี้ แล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำ
ประทักษิณแล้วเข้าไปหามารดาบิดากล่าวว่า คุณแม่คุณพ่อ โปรดอนุญาต
ให้กระผมบวชเถิด. แต่นั้นพึงทราบตามนัยที่กล่าวมาแล้วในรัฏฐปาลสูตร.
ลำดับนั้น เขาปฏิญญาว่า บวชแล้วจักแสดงตน ครั้นมารดาบิดาอนุญาต
แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอบรรพชา. และเขาก็ได้บรรพชา
อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ก็แล ท่านอุปสมบทได้ไม่นาน
เพียรพยายามเพื่อมรรคสูง ๆ อยู่จำพรรษาในอรัญญวาสแห่งหนึ่ง ได้
อภิญญา 6 ออกพรรษาแล้วไปยังกรุงสาวัตถีเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า และ
ปลดเปลื้องที่รับคำมารดาบิดาไว้. เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เตน โข ปน
สมเยน อายสฺมา สงฺคามชิ สาวตถึ อนุปฺปตฺโต โหติ
ก็สมัยนั้นแล ท่าน
พระสังคามชิถึงกรุงสาวัตถีแล้ว .
ก็ท่านสังคามชินั้น เที่ยวบิณฑบาตในธูรคาม กลับจากบิณฑบาต
ภายหลังภัต เข้าไปยังพระเชตวันเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ก็ได้ทำ
ปฏิสันถารแล้ว พยากรณ์อรหัตผล ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก
แล้วประทักษิณ ออกไปนั่งพักผ่อนกลางวันที่โคนไม้แห่งหนึ่ง. ลำดับ
นั้น มารดาบิดาและญาติมิตรของท่านทราบว่า ท่านมา ร่าเริง ยินดีว่า
ข่าวว่า ท่านพระสังคามชิมาในที่นี้ จึงรีบด่วนไปยังวิหารค้นหาอยู่ เห็นท่าน
นั่งในที่นั้นเข้าไปหาทำปฏิสันถารแล้วอ้อนวอนว่า พระราชาอย่าได้ริบ
สมบัติของผู้ไม่มีบุตร ทายาทพึงได้รับ พอแล้วละด้วยการบรรพชา มาสึก
เถิดพ่อ. พระเถระฟังดังนั้นแล้ว คิดว่า คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าเราไม่ต้องการด้วย
กามทั้งหลาย ปรารถนาจะให้ติดอยู่ในกามเท่านั้น เหมือนคนหาบคูถต้อง

การก้อนคูถฉะนั้น ใคร ๆ ไม่อาจจะให้คนเหล่านี้ เข้าใจธรรมกถาได้ จึง
นั่งทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน. คนเหล่านั้นอ้อนวอนโดยประการต่าง ๆ เห็น
ท่านไม่เชื่อคำของตน จึงเข้าไปเรือนสั่งภรรยาของท่านพร้อมด้วยบุตรและ
บริวาร พลางกล่าวว่า พวกเราถึงจะอ้อนวอนต่าง ๆ ก็เอาใจท่านไม่ได้
จึงพากันมา ไปเถิดแม่ จงอ้อนวอนภัสดาของเจ้าให้ยินยอมโดยเห็นแก่บุตร.
ได้ยินว่า เมื่อนางตั้งครรภ์ ท่านผู้นี้บวช. นางรับคำแล้วจึงได้พาเด็กพร้อม
ด้วยบริวารมากไปยังพระเชตวัน ที่ท่านหมายกล่าวคำมีอาทิว่า อสฺโสสิ
โข อายสฺมโต สงฺคามชิสฺส
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุราณทุติยิกา ความว่า เมื่อก่อนคือใน
เวลาเป็นคฤหัสถ์ นางได้เป็นภรรยาเก่าโดยเป็นคู่บำเรอ. อธิบายว่า เป็น
ภรรยา. ด้วยคำว่า อยฺโย เมื่อจะพูดว่าพระลูกเจ้า แต่พูดโดยโวหารอัน
เหมาะแก่บรรพชิต. ศัพท์ว่า กิร เป็นนิบาต ใช้ในอนุสสวนัตถะ ได้ยินมา.
พึงทราบสัมพันธ์ว่า ได้ยินว่า เมื่อท่านมาถึง. บทว่า ขุทฺทปุตตํ ทิ สมณ
โปส มํ
ความว่า นางกล่าวว่า ท่านทิ้งฉันกำลังตั้งครรภ์ทีเดียวบวช
บัดนี้ ฉันนั้นมีลูกคนเล็กจะรุ่นหนุ่ม การที่ท่านทิ้งดิฉัน ผู้เป็นเช่นนั้นแล้ว
ทำสมณธรรมไม่สมควร เพราะฉะนั้น สมณะ ท่านจงเลี้ยงดิฉันผู้มีบุตร
เป็นเพื่อนสองด้วยอาหารและเครื่องนุ่งห่มเป็นต้น . ฝ่ายท่านพระสังคามชิ
สำรวมอินทรีย์ไม่มองดูทั้งไม่เจรจากับนาง. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เอวํ วุตฺเต อายสฺมา สงฺคามชิ ตุณฺหี อโหสิ เมื่อนางกล่าวอย่างนั้น ท่าน
พระสังคามชิก็ได้นิ่งเสีย.
นางกล่าวเช่นนั้นถึง 3 ครั้ง เห็นท่านนิ่งอย่างเดียวจึงสำคัญว่า ขึ้น
ชื่อว่าพวกผู้ชายไม่อาลัยในพวกภรรยา แต่ยังมีความอาลัยในบุตร ความ

สิเนหาในบุตรตั้งจดเยื่อกระดูกของบิดา ฉะนั้น เธอยังอยู่ในอำนาจของ
ฉันแม้เพราะรักบุตร จึงวางบุตรบนตักของพระเถระแล้วหลีกไปส่วนข้าง
หนึ่งกล่าวว่า ท่านสมณะ นี้บุตรของท่าน ท่านจงเลี้ยงเขาเถิด แล้วไป
เสียหน่อยหนึ่ง. ได้ยินว่า นางไม่อาจยืนตรงหน้าท่านด้วยเดชสมณะ.
แม้เด็กพระเถระก็ไม่มองดูทั้งไม่พูดด้วย. ทีนั้น นางแม้เป็นสตรียืนอยู่ใน
ที่ไม่ไกล เหลียวหน้ามองดูรู้อาการพระเถระ ย้อนกลับมาอุ้มเด็กด้วยหวัง
ว่า สมณะนี้ไม่ต้องการบุตร แล้วก็หลีกไป. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมี
อาทิว่า อถ โข อายสฺมโต สงฺคามชิสฺส ปุราณทุติยิกา ครั้งนั้นแล
ท่านพระสังคามชิมีภรรยาเก่า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุตฺเตนปิ ความว่า สมณะนี้ไม่ต้อง
การบุตรแม้ที่เกิดแต่อกตน อธิบายว่า จะป่วยกล่าวไปไยถึงผู้อื่นเล่า.
ชื่อว่า ทิพย์ ในบทว่า ทิพฺเพน นี้ เพราะเป็นเหมือนทิพย์.
จริงอยู่ เทวดาทั้งหลายมีจักขุประสาทเป็นทิพย์ อันเกิดแต่กรรมไม่เปื้อน
ด้วยน้ำดี เสมหะและเลือดเป็นต้น สามารถรับอารมณ์ได้แม้ในที่ไกล.
อภิญญาจักขุแม้นี้เกิดจากจตุตถฌานสมาธิ ก็เป็นเช่นนั้น เหตุนั้น จึงชื่อ
ว่าทิพย์ เพราะเป็นเหมือนของทิพย์. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าทิพย์ เพราะ
ได้ด้วยการอาศัยทิพวิหารธรรม. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าทิพย์ เพราะมีความ
โชติช่วงมากหรือมีคติใหญ่ด้วยทิพย์นั้น. บทว่า วิสุทฺเธน ได้แก่ ชื่อว่า
บริสุทธิ์ด้วยดีเพราะปราศจากสังกิเลสมีนิวรณ์เป็นต้น. บทว่า อติกฺกนฺต-
มานุสเกน
ได้แก่ ล่วงวิสัยของพวกมนุษย์. บทว่า อิมํ เอวรูปํ วิปฺปการํ
ความว่า มีความแปลกนี้ คืออย่างนี้ ได้แก่กิริยาอันผิดรูปกล่าวคือวางบุตร
บนตักอันไม่สมควรในหมู่บรรพชิตตามที่กล่าวแล้ว.

บทว่า เอตมตฺถํ ความว่า รู้อรรถนี้กล่าวคือความที่ท่านพระสังคามชิ
หมดความอาลัยในสัตว์ทุกจำพวกมีบุตรและภรรยาเป็นต้น โดยอาการทั้ง
ปวง. บทว่า อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้ คือ
อันแสดงอานุภาพของท่านสังคามชินั้น เป็นผู้คงที่ในอิฏฐารมณ์ และ
อนิฏฐารมณ์เป็นต้น.
บทว่า อายนฺตึ อธิบายว่า ภรรยาเก่าผู้กำลังมา. บทว่า นาภินนฺทติ
ความว่า ไม่เพลิดเพลินไม่ยินดีว่านางจะมาดูเรา. บทว่า ปกฺกมนฺตึ
ความว่า ผู้เห็นแล้วไปด้วยคิดว่า ผู้นี้ไม่เยื่อใยเราไปเสีย. บทว่า น โสจติ
ได้แก่ ไม่ถึงความเดือดร้อนใจ.
แต่เพื่อแสดงเหตุที่พระเถระไม่ยินดีไม่เศร้าโศกอย่างนี้ จึงกล่าว
คำมีอาทิว่า สงฺคา สงฺคามชิ มุตฺตํ ผู้ชนะถึงความพ้นจากธรรมเป็น
เครื่องข้อง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สงฺคา ความว่า ภิกษุผู้ชื่อสังคามชิ
ผู้พ้นจากธรรมเครื่องข้อง 5 อย่างคือ เครื่องข้องคือราคะ โทสะ โมหะ
มานะ และทิฏฐิ
ด้วยสมุจเฉทวิมุตติและปฏิปัสสัทธิวิมุตติ. บทว่า ตมหํ
พฺรูมิ พฺราหฺมณํ
ความว่า เรากล่าวผู้นั้น คือผู้ถึงความคงที่ ผู้สิ้นอาสวะ
ว่า เป็นพราหมณ์ เพราะเป็นผู้ลอยบาปโดยประการทั้งปวงแล.
จบอรรถกถาสังคามชิสูตรที่ 8

9. ชฏิลสูตร



ว่าด้วยความสะอาดภายใน



[46] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ คยาสีสะประเทศ
ใกล้บ้านคยา ก็สมัยนั้นแล ชฎิลมากด้วยกันผุดขึ้นบ้าง ตำลงบ้าง ผุดขึ้น
และตำลงบ้าง รดน้ำบ้าง บูชาไฟบ้าง ที่แม่น้ำคยา ในสมัยหิมะตก
ระหว่าง 8 วัน ในราตรีมีความหนาวในเหมันตฤดู ด้วยคิดเห็นว่า ความ
หมดจดย่อมมีได้ด้วยการกระทำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตร
เห็นพวกชฎิลเหล่านั้น ผุดขึ้นบ้าง ตำลงบ้าง ผุดขึ้นและตำลงบ้าง รดน้ำ
บ้าง บูชาไฟบ้าง ที่ท่าแม่น้ำคยา ในสมัยหิมะตก ระหว่าง 8 วัน ใน
ราตรีมีความหนาวในเหมันตฤดู ด้วยคิดเห็นว่า ความหมดจดย่อมมีได้
ด้วยการกระทำนี้.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ความสะอาดย่อมไม่มีเพราะน้ำ (แต่) ชนเป็นอัน
มากยังอาบอยู่ในน้ำนี้ สัจจะ และธรรมมีอยู่ในผู้
ใด ผู้นั้นเป็นผู้สะอาดและเป็นพราหมณ์.

จบชฏิลสูตรที่ 9

อรรถกถาชฏิลสูตร



ชฏิลสูตรที่ 9 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า คยา ในคำว่า คยายํ นี้ เขาเรียกว่าบ้านบ้าง ท่าบ้าง. จริงอยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อประทับอยู่ในที่ไม่ไกลคยาคาม เขาเรียกว่าประทับ