เมนู

อรรถกถาปาวาสูตร



ปาวาสูตรที่ 7 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปาวายํ ได้แก่ ใกล้เมืองของเจ้ามัลละ อันมีชื่ออย่างนั้น.
บทว่า อชกลาปเก เจติเย ได้แก่ ในที่ที่พวกมนุษย์ยำเกรง อันได้นาม
ว่าอชกลาปกะ เพราะยักษ์ชื่อว่าอชกลาปกะยึดครอง. ได้ยินว่า ยักษ์นั้น
รับพลีกรรมด้วยโกฏฐาสแห่งแพะ โดยการมัดแพะให้เป็นกลุ่ม ๆ หาใช่
รับโดยประการอื่นไม่ เพราะฉะนั้น จึงปรากฏชื่อว่าอชกลาปกยักษ์.
แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ชื่อว่าอชกลาปกยักษ์ เพราะยังพวกคนให้
ร้องเหมือนแพะ ได้ยินว่า ในเวลาที่พวกคนน้อมนำพลีกรรมไปให้แก่
อชกลาปกยักษ์ ร้องเสียงเหมือนแพะแล้วนำพลีกรรมเข้าไป ยักษ์นั้นก็
ยินดี เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกว่าอชกลาปกยักษ์. ก็ยักษ์นั้นสมบูรณ์ด้วย
อานุภาพ กักขฬะ หยาบคาย และสิงอยู่ที่นั้น เพราะฉะนั้น พวกมนุษย์
จึงทำที่นั้นให้เป็นที่เคารพยำเกรง น้อมนำพลีกรรมเข้าไปตลอดกาล.
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อชกลาปเก เจติเย. บทว่า อชกลาปกสฺส
ยกฺขสฺส ภวเน
ได้แก่ อันเป็นวิมานของยักษ์นั้น
ได้ยินว่า ในคราวนั้น พระศาสดาประสงค์จะทรมานยักษ์นั้น ใน
เวลาเย็น พระองค์เดียวไม่มีเพื่อนสอง ทรงถือบาตรและจีวรแล้วเสด็จ
ไปยังประตูที่อยู่ของอชกลาปกยักษ์ จึงขอร้องนายประตูของยักษ์นั้น เพื่อ
เสด็จเข้าไปยังที่อยู่. นายประตูนั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อชกลาปก-
ยักษ์ผู้หยาบช้า ไม่ทำความเคารพว่าเป็นสมณะหรือพราหมณ์เพราะฉะนั้น
พระองค์เองจงทราบเอาเถิด แต่ข้าพระองค์ไม่บอกแก่ยักษ์นั้นไม่สมควร
แล้วจึงรีบไปยังที่อยู่ของอชกลาปกยักษ์ผู้ไปสมาคมยักษ์ในขณะนั้นนั่นเอง.

ศาสดาเสด็จเข้าไปภายในที่อยู่ แล้วประทับนั่งบนบัญญัตตาอาสน์ในมณฑป
อันเป็นที่นั่งของอชกลาปกยักษ์. พวกสนมของยักษ์เข้าไปเฝ้าพระศาสดา
ถวายบังคม แล้วได้ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง. พระศาสดาได้แสดงธรรมีกถา
อันควรแก่เวลาแก่สนมเหล่านั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ประทับ
อยู่ที่อชกลาปกเจดีย์อันเป็นที่อยู่ของอชกลาปกยักษ์ ใกล้เมืองปาวา.
สมัยนั้น สาตาคิริและเหมวตายักษ์ ไปสมาคมยักษ์ทางเบื้องบนที่
อยู่ของอชกลาปกยักษ์ เมื่อตนยังไปไม่ถึง จึงรำพึงว่า จักมีเหตุอะไรหนอ
ได้เห็นพระศาสดาประทับนั่งในที่อยู่ของอชกลาปกยักษ์ จึงไปในที่นั้น
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทูลอำลาว่า ข้าพระองค์จักไปยังสมาคม
ของยักษ์ พระเจ้าข้า กระทำประทักษิณแล้วไป เห็นอชกลาปกยักษ์ใน
ที่ประชุมยักษ์ จึงแสดงความยินดีว่า ท่านอชกลาปกะ ข้อที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าผู้เป็นอัครบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ประทับนั่งในที่อยู่ของ
ท่าน จัดว่าเป็นลาภของท่าน ท่านจงเข้าไปเฝ้านั่งใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า
และฟังธรรม. อชกลาปกยักษ์นั้น ได้ฟังถ้อยคำของสาตาคิริยักษ์และ
เหมวตายักษ์แล้วคิดว่า พวกเหล่านี้ได้บอกว่าพระสมณะโล้นนั่งในที่อยู่
ของเรา จึงถูกความโกรธครอบงำ คิดว่า วันนี้ เราจะทำสงครามกับสมณะ
นั้น เมื่อยักษ์เลิกประชุม จึงลุกขึ้นจากที่นั้น ยกเท้าขวาเหยียบยอดภูเขา
ประมาณ 60 โยชน์ ยอดภูเขานั้นได้แยกออกเป็น 2 ภาค. ก็คำที่ควรจะ
กล่าวในที่นั้น พึงทราบโดยนัยที่มาในอรรถกถาอาฬวกสูตรนั่นแล.
จริงอยู่ สมาคมของอชกลาปกยักษ์ เป็นเหมือนสมาคมของอาฬวก-
ยักษ์นั่นแหละ แต่เว้นการถามปัญหา การแก้ปัญหา และการเสด็จออกจาก
ที่อยู่และการเข้าไป 3 ครั้ง. ก็พออชกลาปกยักษ์มาถึงเท่านั้นก็คิดว่า เรา

จะไล่พระสมณะนั้นด้วยฝนเหล่านี้ จึงทำฝน 8 ชนิด มีมณฑลลมเป็นต้น
ให้ตั้งขึ้น เมื่อไม่อาจทำแม้เพียงให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเคลื่อนไหวด้วยฝน
เหล่านั้นได้ จึงเนรมิตหมู่ภูตมีรูปน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ถือเครื่องประหาร
นานาชนิด เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมกับภูตเหล่านั้นเที่ยวไป
รอบ ๆ แม้กระทำอาการแปลก ๆ มีประการต่าง ๆ ตลอดคืนยังรุ่ง ก็ไม่
สามารถจะกระทำพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เคลื่อนจากที่ที่ประทับนั่ง แม้เพียง
ปลายเส้นผมสักเส้น ก็พลุ่งโพลงด้วยอำนาจความโกรธอย่างเดียวว่า สมณะ
นี้ไม่บอกกล่าวเราเลย เข้าไปนั่งยังที่อยู่ของเรา. ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงทราบจิตประวัติของยักษ์นั้น จึงทรงพระดำริว่า บุคคลต่อยตีที่จมูก
สุนัขดุ เมื่อเป็นอย่างนี้ สุนัขนั้นพึงเป็นสัตว์ดุเกินประมาณยิ่งขึ้น แม้ฉันใด
ยักษ์นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเรานั่งในที่นี้ก็กริ้วโกรธ ไฉนหนอ เรา
พึงออกไปข้างนอกเสีย แล้วพระองค์เองก็เสด็จออกจากที่อยู่ ประทับนั่ง
ณ โอกาสกลางหาว ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็โดยสมัยนั้นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ โอกาสกลางหาว ในควานมืดตื้อแห่ง
ราตรี ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รตฺตนฺธการติมิสายํ แปลว่า ในความ
มืดตื้อในราตรี อธิบายว่า ในความมืดมากเว้นการเกิดจักขุวิญญาณ. ได้
ยินว่า คราวนั้น ความมืดประกอบด้วยองค์ 4 เกิดขึ้น. บทว่า เทโว ได้แก่
เมฆฝนยังหยาดน้ำเป็นเม็ด ๆ ให้ตกลง. ลำดับนั้น ยักษ์คิดว่า เราจะให้
สมณะนี้หวาดเสียวด้วยเสียงนี้ แล้วหนีไป จึงไปยังที่ใกล้พระผู้พระภาค-
เจ้า แล้วกระทำเสียงอันน่ากลัว โดยนัยมีอาทิว่า อักกุละ ๆ. ด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า อถโข อชกลาปโก ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภยํ ได้แก่ความสะดุ้งแห่งจิต. บทว่า
ฉมฺภิตตฺตํ ได้แก่ ภาวะที่สรีระหวาดเสียว มีอาการขาแข็ง. บทว่า โลมหํสํ
ได้แก่ ภาวะที่ขนชูชัน ด้วยบททั้ง 3 ท่านแสดงเฉพาะเกิดความกลัว.
บทว่า อุปสงฺกมิ ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ยักษ์นี้มีความประสงค์อย่างนี้
เข้าไปหา ได้กระทำอาการแปลกที่ตนกระทำไว้ในกาลก่อนมิใช่หรือ ?
ตอบว่า ได้กระทำจริง แต่ยักษ์นั้นสำคัญว่า เราไม่อาจทำอะไร ๆ แก่
พระสมณะผู้ประทับอยู่ในภายในที่อยู่ ในที่ปลอดภัย ในพื้นที่อันมั่นคง
บัดนี้เราอาจให้สมณะผู้อยู่ภายนอกหวาดเสียวอย่างนี้แล้วหนีไป จึงเข้าไป
หาพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น. ความจริง ยักษ์นี้สำคัญที่อยู่ของตนว่ามั่นคง
และสำคัญว่า พระสมณะนี้ไม่กลัวเพราะอยู่ในที่อยู่ของตนนั้น.
บทว่า ติกฺขตฺตุํ อกฺกุโล ปกฺกโลติ อกฺกุลปกฺกุลิกํ อกาสิ ความว่า
ยักษ์ได้ทำเสียงเห็นปานนี้ว่า อักกุโล ปักกุโล 3 ครั้ง เพื่อประสงค์ให้
พระองค์หวาดเสียว. ความจริง นี้เป็นเสียงกระทำตาม. ด้วยว่าคราวนั้น
ยักษ์นั้น เป็นเหมือนผู้วิเศษยกเขาสิเนรุ และเหมือนพลิกแผ่นดินใหญ่
ทำเสียงกระหึ่ม เหมือนเสียงอสนีบาตตั้งร้อยฟาดลงมาด้วยอุตสาหะใหญ่
เหมือนเสียงกระหึ่มของช้างประจำทิศ ซึ่งรวมกันเป็นฝูงอยู่ในที่เดียวกัน
แล้วเปล่งออก เหมือนบันลือสีหนาทของไกรสรราสีห์ เหมือนเสียงหึง หึง
ของพวกยักษ์ เหมือนเสียงดังของภูตผี เหมือนเสียงปรบมือของพวกอสูร
เหมือนเสียงกึกก้องแห่งวชิระที่จอมเทวราชฟาดลงมา เหมือนเสียงกึกก้อง
ของกลุ่มพายุใหญ่อันตั้งอยู่ตลอดกัป ประหนึ่งจะกดขี่และครอบงำเสียง
อื่นๆ เพราะเป็นเสียงลึกล้ำ กว้างขวาง และทำความน่ากลัวให้แก่ตน
และเหมือนเสียงกึกก้องอันเป็นภัยเฉพาะหน้าอันใหญ่หลวง ดุจผ่าดวงหทัย

ของเหล่าปุถุชน. เพราะเสียงที่เปล่งออกด้วยคิดว่า เราจะให้พระสมณะนี้
หวาดเสียวด้วยเสียงนี้แล้วหนีไป ภูเขาก็แตกเป็นสะเก็ดหินร่วงลงมา ใบไม้
ผลไม้ และดอกไม้ในพุ่มเครือเถาทั้งหมดที่เกาะอยู่ตามต้นไม้เจ้าป่า ก็อับ
เฉาลง ขุนเขาหิมวันต์กว้าง 3,000 โยชน์ก็ไหว หวั่นไหว ลั่นเลื่อนไป
โดยมากแม้พวกเทวดาตั้งต้นแต่ภุมมเทวดา ได้มีความกลัว หวาดเสียว
และขนชูชันด้วยกันทั้งนั้น จะป่วยกล่าวไปไยถึงพวกมนุษย์และสัตว์อื่น ๆ
ที่ไม่มีเท้า มี 2 เท้า และมี 4 เท้า ความหวาดเสียวมากได้เป็นเหมือน
คราวแผ่นดินใหญ่ทรุด ความไกลาหลมากมายได้เกิดขึ้น ณ พื้นชมพูทวีป
ทั้งสิ้น. ส่วนพระผู้พระภาคเจ้า มิได้ทรงสำคัญเสียงนั้นว่าเป็นอะไร ทรง
ประทับนั่งนิ่ง ทรงอธิษฐานว่า ด้วยเหตุนี้ อันตรายอย่าได้มีแก่ใคร ๆ
เลย.
ก็เพราะเหตุที่เสียงนั้น มาปรากฏทางโสตทวารของสัตว์ทั้งหลายโดย
อาการอย่างนี้ว่า อักกุละ พักกุละ ฉะนั้น ท่านอาจารย์จึงยกสู่สังคหะว่า
ยักษ์ได้เปล่งเสียงว่า อักกุละ พักกุละ โดยอธิบายว่า ชื่อว่า อักกุละ
พักกุละ เพราะกระทำตามเสียงนั้น และว่า การเปล่งเสียงว่า อักกุละ
พักกุละ มีอยู่ในการที่ยักษ์เปล่งเสียงอย่างกึกก้องนั้น. แต่อาจารย์บางพวก
กล่าวว่า ยักษ์เปล่งเสียงตามภาษานี้ อักกุละ พักกุละ โดยชื่ออีกอย่างหนึ่ง
ของสองบทว่า อากุละ พยากุละ เหมือนคำว่า เอกะ เอกกะ. เพราะเหตุที่
อาอักษร ซึ่งเกิดคราวเดียวมีอาทิเป็นอรรถว่า อากุละ เพราะเกิดได้ด้วย
การเกิดครั้งแรกนั้นแหละ และทำ อา อักษรนั้นให้มีเสียงสั้นโดยลง ก
อาคมแล. แต่ที่เกิด 2 วาระเป็น พักกุละ. ก็กุละศัพท์ในที่นี้เป็น
ปริยายของชาติ เหมือนในประโยคว่า โกลังโกละ เป็นต้น และการ

ประกอบศัพท์เป็นการเลียนความประสงค์ที่ท่านกล่าว เหตุนั้น บทที่ 1
ท่านกล่าวถึงชลาพุชะกำเนิดมีสีหะและพยัคฆะ เป็นต้น. บทที่ 2 กล่าวถึง
อัณฑชะกำเนิดมีงูและงูเห่า เป็นต้น . เพราะฉะนั้น อาจารย์เหล่าอื่นกล่าวว่า
ยักษ์แสดงเนื้อความนี้ด้วยสองบทว่า อหนฺเต ชีวิตหารโก เรานำชีวิต
ของท่านไป เหมือนสีหะเป็นต้น และงูเป็นต้น . แต่อาจารย์อีกพวกหนึ่ง
กล่าวบาลีว่า อักขุละ ภักขุละ แล้วกล่าวเนื้อความของสองบทนั้นว่า ที่
ชื่อว่า อักขุละ เพราะไป คือเป็นไปเพื่อทำลายให้สิ้นไป ให้พินาศไป
ที่ชื่อว่า ภักขุละ เพราะไปเพื่อจะกิน คือเคี้ยวกิน ก็อรรถนั้นคืออะไร ?
คือใคร ๆ มียักษ์ รากษส ปีศาจ สีหะ และพยัคฆะเป็นต้น ตนใดตน
หนึ่ง เป็นผู้นำความพินาศมาให้แก่พวกมนุษย์. แม้ในที่นี้ ก็พึงทราบ
อธิบายความโดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อนนั้นแหละ.
บทว่า เอโส เต สมณ ปิสาโจ ความว่า ยักษ์เนรมิตรูปน่ากลัว
ใหญ่โต ยืนตรงพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า กล่าวหมายถึงตนว่า สมณะ
ผู้เจริญ ปีศาจผู้มักกินเนื้อปรากฏแก่ท่านแล้ว.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า รู้ประการแปลกนี้ที่ยักษ์นั้น
ให้เป็นไปทางกายและวาจา และรู้ความที่ตนหมดอุปกิเลสในโลกธรรม
เป็นเหตุแห่งอาการที่ยักษ์นั้นข่มขู่ไม่ได้โดยอาการทั้งปวง. บทว่า ตายํ
เวลายํ
ได้แก่ เวลาที่ทำอาการแปลกนั้น. บทว่า อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ
ความว่า ไม่คำนึงถึงอาการแปลกนั้น ทรงเปล่งอุทานนี้อันแสดงธรรมา-
นุภาพ มีการไม่คำนึงอาการแปลกนั้นเป็นเหตุ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยทา สเก สุธมฺเมสุ ได้แก่ ธรรมคือ
อุปาทานขันธ์ 5 กล่าวคืออัตภาพของตนในกาลใด. บทว่า ปารคู ความ

ว่า ผู้ถึงฝั่งด้วยความบริบูรณ์แห่งปริญญาภิสมัย, ต่อแต่นั้นนั่นแหล่ะ ผู้ถึง
ฝั่งด้วยความบริบูรณ์แห่งปหานาภิสมัย สัจฉิกิริยาภิสมัย และภาวนาภิสมัย
ในสมุทัยเป็นเหตุแห่งอุปาทานขันธ์เหล่านั้น ในนิโรธอันมีลักษณะไม่เป็น
ไปตามสมุทัยนั้น และในนิโรธคามินีปฏิปทา. บทว่า โหติ พฺราหฺมโณ
ความว่า ชื่อว่าเป็นพราหมณ์ เพราะเป็นผู้ลอยบาปโดยประการทั้งปวง
ด้วยประการฉะนี้. ความจริง การตรัสรู้สัจจะ 4 ย่อมมีแม้ด้วยการหยั่งรู้
อัตภาพของตนโดยประการทั้งปวง. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้มีอาทิว่า
เราบัญญัติโลกและความเกิดของโลก ในร่างกายนี้แหละมีประมาณวาหนึ่ง
พร้อมสัญญาและใจ. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สเกสุ ธมฺเมสุ ได้แก่ ใน
ธรรมของตน ชื่อว่าธรรมของตน ได้แก่ธรรมมีศีลเป็นต้นของบุคคล
ผู้รักตน. จริงอยู่ โวทานธรรม มีศีล สมาธิ ปัญญา และวิมุตติเป็นต้น
ชื่อว่าธรรมของคนคือของตน เพราะยังหิตสุขให้สมบูรณ์โดยส่วนเดียว
ไม่เป็นธรรมของคนอื่น เหมือนสังกิเลสธรรมอันนำความพินาศมาให้.
บทว่า ปารคู ได้แก่ ถึงฝั่งคือที่สุดความบริบูรณ์แห่งธรรมมีศีลเป็นต้นนั้น
ในธรรมเหล่านั้น อันดับแรก ชื่อว่าศีล มี 2 อย่าง คือโลกิยศีล 1
โลกุตรศีล 1. ในศีลเหล่านั้น โลกิยศีล เป็นศีลเบื้องต้น. ศีลเบื้องต้นนั้น
ว่าโดยย่อมี 4 อย่าง มีปาติโมกขสังวรศีลเป็นต้น แต่ว่าโดยพิสดารมีหลาย
ประเภท. โลกุตรศีล มี 2 อย่าง คือมรรคศีล 1 ผลศีล 1 แต่ว่าโดย
อรรถ ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ. ก็สมาธิ
และปัญญา มี 2 อย่าง คือ เป็นโลกิยะ 1 เป็นโลกุตระ 1 เหมือนศีล.
ใน 2 อย่างนั้น โลกิยสมาธิ ได้แก่ สมาบัติ 8 พร้อมด้วยอุปจาร โลกุตร-
สมาธิ ได้แก่ สมาธิที่นับเนื่องในมรรค. ฝ่ายปัญญาที่เป็นโลกิยะ ได้แก่

สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญาที่ยังมีอาสวะ ส่วน
โลกุตรปัญญา ได้แก่ ปัญญาที่สัมปยุตด้วยมรรคและผล. ชื่อว่า วิมุตติ
ได้แก่ ผลวิมุตติและนิพพาน เพราะฉะนั้น วิมุตตินั้น จึงเป็นโลกุตระอย่าง
เดียว. วิมุตติญาณทัสสนะ เป็นโลกิยะอย่างเดียว วิมุตติญาณทัสสนะนั้น
มี 19 อย่าง เพราะเป็นปัจจเวกขณญาณ. ชื่อว่าผู้ถึงฝั่งคือที่สุด เพราะ
ความบริบูรณ์แห่งธรรมมีศีลเป็นต้นเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นโดยสิ้นเชิง เพราะ
บรรลุพระอรหัตในสันดานของตน ด้วยประการฉะนี้ เพราะเหตุนั้น จึง
ชื่อว่า ถึงฝั่งในธรรมของตน. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าถึงฝั่งในศีล เพราะ
บรรลุโสดาปัตติผล. จริงอยู่ พระโสดาบันนั้น ท่านเรียกว่า ทำให้บริบูรณ์
ในศีลทั้งหลาย. ก็ในที่นี้ แม้พระสกทาคามี ก็เป็นอันท่านถือเอาด้วย
โสดาบัน ศัพท์เหมือนกัน. ชื่อว่าผู้ถึงฝั่งในสมาธิ เพราะบรรลุอนาคา-
มิผล. จริงอยู่ พระอนาคามีนั้น ท่านเรียกว่า ผู้ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ.
ชื่อว่าผู้ถึงฝั่งในธรรม 3 นอกนี้ เพราะบรรลุพระอรหัตผล. จริงอยู่
พระอรหันต์ ชื่อว่าเป็นผู้ถึงฝั่งในปัญญาวิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ
เพราะบรรลุเจโตวิมุตติ อันเป็นอกุปปธรรมอันเลิศ ด้วยความถึงความ
ไพบูลย์ด้วยปัญญา และเพราะถึงที่สุดแห่งปัจจเวกขณญาณ. ชื่อว่าเป็นผู้
ถึงฝั่งในธรรมของตนในกาลใด ตามที่กล่าวแล้ว เพราะสำเร็จกิจ 16
อย่าง มีปริญญากิจเป็นต้น โดยมรรค 4 ในอริยสัจ 4 แม้โดยประการ
ทั้งปวงด้วยประการฉะนี้. บทว่า โหติ พฺราหฺมโณ ความว่า ในกาลนั้น
บุคคลนั้น ชื่อว่าเป็นพราหมณ์โดยปรมัตถ์ เพราะเป็นผู้ลอยบาปธรรม
เสียได้. บทว่า อถ เอตํ ปิสาจญฺจ พกฺกุลญฺจาติ วตฺตติ ความว่า ดูก่อน

อชกลาปกะ ครั้นภายหลังจากถึงฝั่งที่กล่าวแล้วนั้น บุคคลเป็นไปล่วง
คือก้าวล่วง ครอบงำ ไม่กลัวปีศาจที่มากินเนื้อที่ท่านแสดงแล้วนั่น และ
เสียงอักกุละ พักกุละ ที่ตั้งขึ้นให้เกิดความกลัว.
คาถาแม้นี้ ท่านกล่าวยกย่องเฉพาะพระอรหัต. ครั้งนั้น อชกลาปก-
ยักษ์ เห็นความคงที่นั้น เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงหวั่นไหว แม้
ด้วยความน่ากลัวอันมีภัยเกิดเฉพาะหน้าเห็นปานนั้น อันตนกระทำแล้ว
ก็มีจิตเลื่อมใสว่า พระสมณะนี้เป็นมนุษย์อัศจรรย์หนอ เมื่อจะประกาศ
ถึงศรัทธาอันเป็นของปุถุชนตั้งมั่นในตน จึงประกาศความเป็นอุบาสก
เฉพาะพระพักตร์พระศาสดาแล.
จบอรรถกถาปาวาสูตรที่ 7

8. สังคามชิสูตร



ว่าด้วยการไม่ยินดีต่อบุตรภรรยาเก่า



[45] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่าน
พระสังคามชิถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ภริยาเก่าของท่านพระสังคามชิได้ฟังข่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าสังคามชิถึงพระ-
นครสาวัตถีแล้ว นางได้อุ้มทารกไปยังพระวิหารเชตวัน ก็สมัยนั้นแล
ท่านพระสังคามชินั่งพักกลางวันที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง ครั้งนั้น ภริยาเก่า
ของท่านพระสังคามชิ เข้าไปหาท่านพระสังคามชิถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว ได้