8. เรื่องเดียรถีย์ [201]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพวกเดียรถีย์
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น โมเนน" เป็นต้น.
เหตุที่ทรงอนุญาตอนุโมทนากถา
ได้ยินว่า พวกเดียรถีย์เหล่านั้นทำอนุโมทนาแก่พวกมนุษย์ ใน
สถานที่ตนบริโภคแล้ว, กล่าวมงคลโดยนัยเป็นต้นว่า " ความเกษมจงมี,
ความสุขจงมี, อายุจงเจริญ; ในที่ชื่อโน้นมีเปือกตม, ในที่ชื่อโน้นมีหนาม,
การไปสู่ที่เห็นปานนั้นไม่ควร" แล้วจึงหลีกไป. ก็ในปฐมโพธิกาล ใน
เวลาที่ยังไม่ทรงอนุญาตวิธีอนุโมทนาเป็นต้น ภิกษุทั้งหลายไม่ทำอนุ-
โมทนาแก่พวกมนุษย์ในโรงภัตเลย ย่อมหลีกไป. พวกมนุษย์ยกโทษว่า
"พวกเราได้ฟังมงคลแต่สำนักของเดียรถีย์ทั้งหลาย, แต่พระผู้เป็นเจ้า
ทั้งหลายนิ่งเฉย หลีกไปเสีย." ภิกษุทั้งหลายยกราบทูลความนั้นแด่พระ-
ศาสดา.
พระศาสดาทรงอนุญาตว่า " ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้ไป ท่านทั้ง-
หลายจงทำอนุโมทนาในที่ทั้งหลายมีโรงภัตเป็นต้น ตามสบายเถิด, จงกล่าว
อุปนิสินนกถาเถิด" ภิกษุเหล่านั้นทำอย่างนั้นแล้ว.
พวกเดียรถีย์ติเตียนพุทธสาวก
พวกมนุษย์ฟังวิธีอนุโมทนาเป็นต้น ถึงความอุตสาหะแล้ว นิมนต์
ภิกษุทั้งหลาย เที่ยวทำสักการะ. พวกเดียรถีย์ยกโทษว่า " พวกเราเป็น
มุนีทำความเป็นผู้นิ่ง, พวกสาวกของพระสมณโคดมเที่ยวกล่าวกถามาก
มาย ในที่ทั้งหลายมีโรงภัตเป็นต้น.
ลักษณะมุนีและผู้ไม่ใช่มุนี
พระศาสดาทรงสดับความนั้น ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าว
ว่า ' มุนี ' เพราะเหตุสักว่าเป็นผู้นิ่ง; เพราะคนบางพวกไม่รู้ ย่อมไม่พูด,
บางพวกไม่พูด เพราะความเป็นผู้ไม่แกล้วกล้า, บางพวกไม่พูด เพราะ
ตระหนี่ว่า ' คนเหล่าอื่นอย่ารู้เนื้อความอันดียิ่งนี้ของเรา; เพราะฉะนั้น
คนไม่ชื่อว่าเป็นมุนี เพราะเหตุสักว่าเป็นคนนิ่ง, แต่ชื่อว่าเป็นมุนี เพราะ
ยังบาปให้สงบ." ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
8. น โมเนน มุนิ โหติ มูฬฺหรูโป อวิทฺทสุ
โย จ ตุลํว ปคฺคยฺห วรมาทาย ปณฺฑิโต
ปาปานิ ปริวชฺเชติ ส มุนิ เตน โส มุนิ
โย มุนาติ อุโภ โลเก มุนิ เตน ปวุจฺจติ.
" บุคคลเขลา ไม่รู้โดยปกติ ไม่ชื่อว่าเป็นมุนี
เพราะความเป็นผู้นิ่ง, ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิตถือธรรม
อันประเสริฐ ดุจบุคคลประคองตาชั่ง เว้นบาป
ทั้งหลาย, ผู้นั้นเป็นมุนี, ผู้นั้นเป็นมุนี เพราะเหตุ
นั้น; ผู้ใดรู้อรรถทั้งสองในโลก, ผู้นั้นเรากล่าวว่า
' เป็นมุนี ' เพราะเหตุนั้น."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น โมเนน ความว่า ก็บุคคลชื่อว่าเป็น