เมนู

ไม่สามารถเพื่อจะถือเอาทรัพย์สมบัติอันเป็นของข้าพระองค์ด้วยอาการอย่าง
นั้นได้ เพราะช้าพระองค์ไม่ปรารถนา" ดังนี้แล้ว เกิดสลดใจเพราะ
พระกิริยาของพระราชา จึงกราบทูลว่า " ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์
จงทรงอนุญาตเพื่อการบวชแก่ข้าพระองค์." ท้าวเธอทรงดำริว่า " เมื่อ
เศรษฐีนี้บวชแล้ว, เราจักยึดเอาปราสาทได้สะดวก" จึงตรัสว่า " จง
บวชเถิด" ด้วยพระดำรัสคำเดียวเท่านั้น. เศรษฐีนั้นบวชในสำนักพระ-
ศาสดาแล้ว ต่อกาลไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต มีชื่อว่า พระโชติก-
เถระ.
ในขณะที่ท่านบรรลุพระอรหัตแล้วนั่นแล สมบัตินั้นแม้ทั้งหมดก็
อันตรธานไป. พวกเทพดาก็นำภรรยาของเศรษฐีนั้น ชื่อสตุลกายา แม้
นั้นไปสู่อุตตรกุรุทวีปนั่นแล.

พวกภิกษุเข้าใจว่าพระเถระอวดอุตริมนุสธรรม


ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายเรียกพระโชติกเถระนั้นมาแล้ว ถามว่า
" โชติกะผู้มีอายุ ก็ตัณหาในปราสาทหรือในหญิงนั้นของท่านยังมีอยู่หรือ ?
เมื่อท่านบอกว่า " ไม่มี ผู้มีอายุทั้งหลาย " จึงกราบทูลแด่พระศาสดาว่า
" พระเจ้าข้า พระโชติกะนี้ กล่าวไม่จริง พยากรณ์พระอรหัตผล."
พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราไม่มีตัณหาใน
ปราสาทหรือในหญิงนั้นเลย " ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า:-
" ผู้ใด ละตัณหาได้แล้ว ในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มี
เรือน เว้นเสียได้, เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีตัณหาและ
ภพอันสิ้นแล้วว่า เป็นพราหมณ์."