เมนู

เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ แม้พระราชาตั้งพัน ก็ไม่สามารถเพื่อ
จะยึดเอาเรือนของข้าพระองค์ได้ เพราะข้าพระองค์ไม่ปรารถนา.

พระราชาทรงถอดแหวนไม่ออก


ท้าวเธอกริ้วว่า " ก็ท่านจักเป็นพระราชาหรือ ? "
เศรษฐี. ข้าพระองค์ไม่เป็นพระราชา, แต่พระราชาหรือโจรไม่
สามารถจะถือเอาแม้เส้นด้ายที่ชายผ้าอันเป็นของข้าพระองค์ได้ เพราะ
ข้าพระองค์ไม่ปรารถนา.
พระราชา. ก็ฉันจักถือเอาตามความพอใจของท่านได้ อย่างไร ?
เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าอย่างนั้น แหวน 20 วงเหล่านั้น ที่
นิ้วมือทั้ง 10 ของข้าพระองค์มีอยู่, ข้าพระองค์ไม่ถวายแหวนเหล่านี้แก่
พระองค์: ถ้าพระองค์ทรงสามารถไซร้, ข้าพระองค์จงทรงถือเอาเถิด.
ก็พระราชานั้น ประทับนั่งกระโหย่งบนพื้น เมื่อจะทรงกระโดด
ย่อมทรงกระโดดขึ้นสู่ที่ 18 ศอกได้, ประทับยืน เมื่อจะทรงกระโดด
ย่อมทรงกระโดดขึ้นสู่ที่ 80 ศอกได้. พระราชาแม้ทรงมีพระกำลังมาก
อย่างนี้ ทรงกระโดดไปมาอย่างโน้นและข้างนี้ ก็ไม่ทรงสามารถเพื่อจะ
ถอดแม้ซึ่งแหวนวงหนึ่งได้.

เศรษฐีสลดใจใคร่จะบวช


ลำดับนั้น เศรษฐีกราบทูลกะท้าวเธอว่า " ข้าแต่สมมติเทพ ขอ
พระองค์ทรงลาดผ้าสาฎก " แล้วได้ทำนิ้วทั้งหลายให้ตรง. แหวนแม้ทั้ง
20 วง หลุดออกแล้ว.
ลำดับนั้น เศรษฐีกราบทูลท้าวเธอว่า " ข้าแต่สมมติเทพ ใคร ๆ

ไม่สามารถเพื่อจะถือเอาทรัพย์สมบัติอันเป็นของข้าพระองค์ด้วยอาการอย่าง
นั้นได้ เพราะช้าพระองค์ไม่ปรารถนา" ดังนี้แล้ว เกิดสลดใจเพราะ
พระกิริยาของพระราชา จึงกราบทูลว่า " ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์
จงทรงอนุญาตเพื่อการบวชแก่ข้าพระองค์." ท้าวเธอทรงดำริว่า " เมื่อ
เศรษฐีนี้บวชแล้ว, เราจักยึดเอาปราสาทได้สะดวก" จึงตรัสว่า " จง
บวชเถิด" ด้วยพระดำรัสคำเดียวเท่านั้น. เศรษฐีนั้นบวชในสำนักพระ-
ศาสดาแล้ว ต่อกาลไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต มีชื่อว่า พระโชติก-
เถระ.
ในขณะที่ท่านบรรลุพระอรหัตแล้วนั่นแล สมบัตินั้นแม้ทั้งหมดก็
อันตรธานไป. พวกเทพดาก็นำภรรยาของเศรษฐีนั้น ชื่อสตุลกายา แม้
นั้นไปสู่อุตตรกุรุทวีปนั่นแล.

พวกภิกษุเข้าใจว่าพระเถระอวดอุตริมนุสธรรม


ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายเรียกพระโชติกเถระนั้นมาแล้ว ถามว่า
" โชติกะผู้มีอายุ ก็ตัณหาในปราสาทหรือในหญิงนั้นของท่านยังมีอยู่หรือ ?
เมื่อท่านบอกว่า " ไม่มี ผู้มีอายุทั้งหลาย " จึงกราบทูลแด่พระศาสดาว่า
" พระเจ้าข้า พระโชติกะนี้ กล่าวไม่จริง พยากรณ์พระอรหัตผล."
พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราไม่มีตัณหาใน
ปราสาทหรือในหญิงนั้นเลย " ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า:-
" ผู้ใด ละตัณหาได้แล้ว ในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มี
เรือน เว้นเสียได้, เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีตัณหาและ
ภพอันสิ้นแล้วว่า เป็นพราหมณ์."