เมนู

แผ่นศิลาเหล่านั้น. แผ่นศิลาก็ลุกโพลงขึ้นในขณะนั้นนั่นเอง เมื่อภัตสัก
ว่าสุกแล้ว ย่อมดับไป พวกเขารู้ความที่ภัตสุกแล้ว ด้วยสัญญานั้น
นั่นแหละ. แม้ในเวลาแกงของควรแกงเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. เขา
ทั้งสองย่อมหุงต้มอาหารด้วยแผ่นศิลาอันลุกโพลงด้วยอาการอย่างนี้.
ชนเหล่านั้น ย่อมอยู่ด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี, ไม่รู้แสงสว่างของ
ไฟหรือประทีปเลย.

มหาชนต่างแตกตื่นมาชมสมบัติ


ได้ยินว่า สมบัติของโชติกเศรษฐีเห็นปานนั้น ได้ปรากฏทั่วชมพู-
ทวีปทั้งสิ้นแล้ว. มหาชนเทียมยานเป็นต้นมา เพื่อต้องการดู.
โชติกเศรษฐี สั่งให้หุงภัตด้วยข้าวสารที่นำมาจากอุตตรกุรุทวีปแล้ว
ให้ ๆ แก่ชนทั้งหลายผู้มาแล้ว ๆ, สั่งว่า " ชนทั้งหลายจงถือเอาผ้า, จงถือ
เอาเครื่องประดับ จากต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย," แล้วให้เปิดปากขุมทรัพย์
ที่มีประมาณคาวุตหนึ่ง แล้วสั่งว่า " ชนทั้งหลายจงถือเอาทรัพย์พอยัง
อัตภาพให้เป็นไปได้." เมื่อชนทั้งหลายผู้อยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ถือเอา
ทรัพย์ไปอยู่ ปากแห่งขุมทรัพย์มิได้พร่องลงแล้ว แม้เพียงองคุลีเดียว.
ได้ยินว่า นั่นเป็นผลแห่งรัตนะที่เขาโปรยลง ทำให้เป็นทรายใน
บริเวณพระคันธกุฎี.

พระเจ้าพิมพิสารมีพระประสงค์จะชมปราสาท


เมื่อมหาชน ถือเอาผ้าอาภรณ์ และทรัพย์ตามความปรารถนาไป
อยู่อย่างนั้น, พระเจ้าพิมพิสารมีพระประสงค์จะทอดพระเนตรปราสาท
ของโชติกเศรษฐีนั้นบ้าง เมื่อมหาชนมาอยู่ จึงไม่ได้โอกาสแล้ว.

ในกาลต่อมา เมื่อพวกมนุษย์น้อยลง เพราะถือเอาวัตถาภรณ์และ
ทรัพย์ตามความปรารถนาไปแล้ว พระราชาจึงตรัสกะบิดาของโชติกะว่า
" ฉันมีความประสงค์จะชมปราสาทของบุตรของท่าน." บิดาของโชติกะ
นั้นกราบทูลว่า " ดีละ สมมติเทพ " แล้วไปบอกแก่บุตรว่า " พ่อ พระ-
ราชามีพระประสงค์จะทอดพระเนตรปราสาทของเจ้า," เขาพูดว่า " ดีละ
คุณพ่อ, ขอพระองค์เสด็จมาเถิด."
พระราชา ได้เสด็จไปในที่นั้นพร้อมด้วยข้าราชบริพารเป็นอันมาก.
ทาสีผู้ปัดกวาดเทหยากเยื่อที่ซุ้มประตูที่ 1 ได้ถวายมือแด่พระราชา.
พระราชาทรงละอาย ด้วยทรงสำคัญว่า " ภรรยาของเศรษฐี" จึงไม่ทรง
วางพระหัตถ์ที่แขนของนาง. พระราชาทรงสำคัญทาสีแม้ที่ซุ้มประตูที่เหลือ
ทั้งหลายว่า " ภรรยาของเศรษฐี " อย่างนั้น จึงไม่ทรงวางพระหัตถ์ที่แขน
ของทาสีเหล่านั้น.
โชติกเศรษฐี มาต้อนรับพระราชาถวายบังคมแล้ว อยู่เบื้องพระ-
ปฤษฎางค์ กราบทูลว่า " ข้าแต่สมมติเทพ ขอเชิญเสด็จไปข้างหน้าเถิด "
แผ่นดินที่ประดับด้วยแก้วมณี ย่อมปรากฏแก่พระราชา เป็นเหมือนเหว
ที่ลึกตั้ง 100 ชั่วบุรุษ. ท้าวเธอทรงสำคัญว่า " โชติกะนี้ ขุดบ่อไว้เพื่อ
ต้องการจับเรา " จึงไม่อาจเพื่อ1จะเสด็จพระราชดำเนินไปได้."
โชติกะ กราบทูลว่า " ข้าแต่สมมติเทพ นี้มิใช่บ่อ, ขอพระองค์
จงเสด็จมาข้างหลังข้าพระองค์" แล้วได้เป็นผู้นำเสด็จ.2
พระราชา ทรงเหยียบพื้นในเวลาที่โชติกะนั้นเหยียบแล้ว เสด็จ
เที่ยวทอดพระเนตรปราสาทตั้งแต่พื้นชั้นล่าง.
1. ปาทํ นิกฺขิปิตุํ เพื่ออันวางพระบาทลง. 2. ปุรโต อโหสิ ได้มีข้างหน้า.

พระเจ้าอชาตศัตรูทรงน้อยพระทัย


ในคราวนั้น พระราชกุมารทรงพระนามว่าอชาตศัตรู ทรงจับองคุลี
ของพระราชบิดา เสด็จเที่ยวไปอยู่ ทรงดำริว่า " โอ ทูลกระหม่อมของ
เราเป็นอันพาล, ชื่อว่าคฤหบดียังอยู่ในปราสาทที่ทำด้วยแก้ว 7 ประการ
ได้ ทูลกระหม่อมของเรานี่ เป็นถึงพระราชา ยังประทับอยู่ในพระราช-
มณเฑียรที่ทำด้วยไม้, บัดนี้ เราจักเป็นพระราชาแล้ว จักไม่ให้คฤหบดีนี้
อยู่ในปราสาทนี้.1" เมื่อพระราชากำลังเสด็จขึ้นสู่พื้นปราสาทชั้นบน
นั่นแหละ เป็นเวลาเสวยพระกระยาหารเช้า. ท้าวเธอตรัสเรียกเศรษฐีมา
แล้ว ตรัสว่า " มหาเศรษฐี พวกเราจักบริโภคอาหารเช้าในที่นี้นี่แหละ."
เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ก็ทราบอยู่, พระกระยาหาร
สำหรับสมมติเทพ ข้าพระองค์ตระเตรียมไว้แล้ว."
ท้าวเธอทรงสรงสนานด้วยหม้อน้ำหอม 16 หม้อ แล้วประทับนั่ง
บนบัลลังก์อันเป็นที่นั่งของเศรษฐีนั่นแหละ ที่เขาตกแต่งไว้ในมณฑป
เป็นที่นั่งของเศรษฐี ซึ่งทำด้วยแก้ว.

พระราชาประทับเสวยในบ้านโชติกเศรษฐี


ครั้งนั้น พวกบุรุษถวายน้ำสำหรับล้างพระหัตถ์แด่ท้าวเธอ แล้วคด
ข้าวปายาสเปียกจากภาชนะทองคำที่มีค่าได้แสนหนึ่ง วางไว้ตรงพระพักตร์.
พระราชาทรงเริ่มจะเสวยด้วยสำคัญว่า " เป็นโภชนะ."
เศรษฐีกราบทูลว่า " ข้าแต่สมมติเทพ นี้ไม่ใช่ภาชนะ, นี้เป็นข้าว
ปายาสเปียก. พวกบุรุษคดโภชนะใสในภาชนะทองคำใบอื่น แล้ววางไว้
บนถาดเดิม." .
1. อิมสฺส อิมสฺมึ ปาสาเท วสิตุํ น ทสฺสามิ เราจักไม่ให้อยู่ในปราสาทนี้ แก่คฤหบดีนี้.