เมนู

เศรษฐี. ทาสของพระองค์เกิดในเรือนของข้าพระองค์, ความ
รุ่งโรจน์นั้น ได้มีแล้วด้วยเดชแห่งบุญของเขานั่นแหละ.
พระราชา. เขาจักเป็นโจรกระมัง ?
เศรษฐี. ข้าแต่สมมติเทพ ข้อนั้นไม่มี, สัตว์มีบุญได้ทำอภินิหาร
ไว้แล้ว.
พระราชาทรงตั้งทรัพย์ค่าเลี้ยงดูวันละพัน ด้วยพระดำรัสว่า " ถ้า
กระนั้น เธอเลี้ยงเขาไว้ให้ดีจึงจะควร, นี้จงเป็นค่าน้ำนมสำหรับเขา."
ครั้นในวันเป็นที่ตั้งชื่อ ชนทั้งหลายจึงตั้งชื่อของเขาว่า " โชติกะ" นั่น
แหละ เพราะพระนครทั้งสิ้นรุ่งโรจน์เป็นอันเดียวกัน.
ต่อมา ในเวลาที่เขาเติบโตแล้ว เมื่อภาคพื้นอันเขาลงชำระอยู่ เพื่อ
ต้องการปลูกเรือน ภพของท้าวสักกะแสดงอาการร้อนแล้ว.

ท้าวสักกะเสด็จมานิรมิตสมบัติให้โชติเศรษฐี


ท้าวสักกะทรงใคร่ครวญดูว่า " นี้เหตุอะไรหนอแล ?" ทรงทราบ
ว่า " ชนทั้งหลายกำลังจับจองที่ปลูกเรือนเพื่อโชติกะ" ทรงดำริว่า " โชติกะ
นี้ จักไม่อยู่ในเรือนที่ชนเหล่านั่นทำแล้ว, การที่เราไปในที่นั้น ควร"
แล้วเสด็จไปที่นั้นด้วยเพศแห่งนายช่างไม้ ตรัสว่า " พวกท่านทำอะไร
กัน ?"
เหล่าชน. พวกฉันจับจองที่ปลูกเรือน สำหรับโชติกะ.
ท้าวสักกะตรัสว่า " พวกท่านจงหลีกไป, โชติกะนี้จักไม่อยู่ในเรือน
ที่พวกท่านปลูก" แล้วทอดพระเนตรดูภูมิประเทศประมาณ 16 กรีส.
ภูมิประเทศนั้น ได้เป็นที่สม่ำเสมอในทันใดนั้นนั่นเอง ดุจวงกสิณ. ท้าว
เธอทรงดำริอีกว่า " ขอปราสาท 7 ชั้นสำเร็จด้วยแก้ว 7 ประการ จง

ชำแรกแผ่นดินผุดขึ้น ณ ที่นี้ " แล้วทอดพระเนตรดู. ปราสาท (เห็น
ปานนั้น) ผุดขึ้นแล้วในขณะนั้นนั่นเอง. ท้าวสักกะทรงดำริอีกว่า " ขอ
กำแพง 7 ชั้น ที่สำเร็จด้วยแก้ว 7 ประการ จงผุดขึ้นแวดล้อมปราสาท
นี้" แล้วทอดพระเนตรดู. กำแพงเห็นปานนั้นผุดขึ้นแล้ว. ครั้งนั้น
ท้าวเธอทรงดำริว่า " ขอต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย จงผุดขึ้นในที่สุดรอบ
กำแพงเหล่านั้น " แล้วทอดพระเนตรดู. ต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลายเห็นปาน
นั้น ผุดขึ้นแล้ว. ท้าวเธอทรงดำริว่า " ขุมทรัพย์ 4 ขุม จงผุดขึ้นที่มุม
ทั้ง 4 แห่งปราสาท" แล้วทอดพระเนตรดู. ทุกสิ่งได้มีอย่างนั้นเหมือน
กัน.
ก็บรรดาขุมทรัพย์ทั้งหลาย ขุมทรัพย์ขุมหนึ่งได้มีประมาณโยชน์
หนึ่ง, ขุมหนึ่งได้มีประมาณ 3 คาวุต, ขุมหนึ่งได้มีประมาณกึ่งโยชน์,
ขุมหนึ่งได้มีประมาณคาวุตหนึ่ง1, ที่ซุ้มประตูทั้ง 7 ยักษ์ 7 ตนยึดการ
รักษาไว้แล้ว. ในซุ้มประตูที่ 1 ยักษ์ชื่อยมโมลีพร้อมด้วยยักษ์พันหนึ่ง
ที่เป็นบริวารของตน ยึดการรักษาไว้แล้ว, ที่ซุ้มประตูที่ 2 ยักษ์ชื่อ
อุปปละพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน 2 พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว,
ที่ซุ้มประตูที่ 3 ยักษ์ชื่อวชิระพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน 3 พัน
ยึดการรักษาไว้แล้ว, ที่ซุ้มประตูที่ 4 ยักษ์ชื่อวชิรพาหุพร้อมด้วยยักษ์ที่
1. เบื้องหน้าแต่นี้ คำพูดอย่างนี้ ปรากฏโดยมาก: ก็ประมาณนั่น ได้เป็นประมาณแห่งปาก
ขุมทรัพย์ที่เกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์. เบื้องล่างได้มีที่สุดแผ่นดิน, ประมาณขอบปากแห่งขุมทรัพย์
ที่เกิดขึ้นแก่โชติกเศรษฐี ท่านมิได้กล่าวไว้. ขุมทรัพย์ทุกขุมเต็มเปี่ยมเทียวผุดขึ้น เหมือน
ผลตาลที่เขาฝานหัวฉะนั้น, ลำอ้อย 4 ลำ เป็นวิการแห่งทองคำ ประมาณเท่าต้นตาลรุ่น ๆ เกิด
ขึ้นที่มุมปราสาททั้ง 4. ลำอ้อยเหล่านั้นมีใบเป็นวิการแห่งแก้วมณี มีข้อเป็นวิการแห่งทองคำ.
นับว่าสมบัตินั้นเกิดขึ้นแล้ว เพื่อแสดงบุรพกรรม (ของเขา).

เป็นบริวารของตน 4 พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว, ที่ซุ้มประตูที่ 5 ยักษ์
ชื่อสกฏะพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน 5 พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว,
ที่ซุ้มประตูที่ 6 ยักษ์ชื่อสกฏัตถะพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน 6 พัน
ยึดการรักษาไว้แล้ว, ที่ซุ้มประตูที่ 7 ยักษ์ชื่อทิสามุขะพร้อมด้วยยักษ์ที่
เป็นบริวารของตน 7 พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว. ทั้งภายในและภายนอก
แห่งปราสาท ได้มีการรักษาอย่างมั่นคงแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้.

พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานฉัตรตั้งให้เป็นเศรษฐี


พระราชาทรงพระนามว่าพิมพิสาร ทรงสดับว่า " ได้ยินว่า ปราสาท
7 ชั้น ซึ่งสำเร็จด้วยแก้ว 7 ประการ ผุดขึ้นแล้วเพื่อโชติกะ, กำแพง
7 ชั้น ซุ้มประตู 7 ซุ้ม ขุมทรัพย์ 4 ขุมก็ผุดขึ้นแล้ว (เพื่อโชติกะ
เหมือนกัน )" ทรงส่งฉัตรตำแหน่งเศรษฐีไป (ให้) แล้ว, เขาได้เป็นผู้
ชื่อว่า โชติกเศรษฐี. ก็หญิงผู้มีบุญกรรมอันทำไว้แล้วกับโชติกเศรษฐีนั้น
เกิดแล้วในอุตตรกุรุทวีป.
ครั้งนั้น เทพดานำนางมาจากอุตตรกุรุทวีปนั้นแล้ว ให้นั่งในห้อง
อันเป็นสิริ.
หญิงนั้นเมื่อมา ถือเอาทะนานข้าวสารทะนานหนึ่ง และแผ่นศิลา
อันลุกโพลง 3 แผ่น (มา), ภัตของชนทั้งสองนั้น ได้มีแล้วด้วยทะนาน
ข้าวสารนั้นนั่นเทียว ตลอดชีวิต.
ดังได้สดับมา ถ้าชนเหล่านั้นเป็นผู้มีประสงค์จะยังแม้เกวียน 100
เล่มให้เต็มด้วยข้าวสาร, มันก็คงปรากฏเป็นทะนานอันเต็มด้วยข้าวสารอยู่
นั่นเอง. ในเวลาหุงภัต พวกเขาใส่ข้าวสารในหม้อ แล้ววางไว้เบื้องบน