เมนู

33.เรื่องพระโชติกเถระ [296]



ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระโชติก-
เถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " โยธ ตณฺห ํ" เป็นต้น.

บุรพกรรมของสองพี่น้อง


อนุปุพพีกถาในเรื่องนั้น ดังต่อไปนี้ :-
ได้ยินว่า ในอดีตกาล กุฎุมพี 2 คนพี่น้องในกรุงพาราณสียังชน
ให้ทำไร่อ้อยไว้เป็นอันมาก.
ต่อมาวันหนึ่ง น้องชายไปยังไร่อ้อย คิดว่า " เราจักให้อ้อยลำหนึ่ง
แก่พี่ชาย ลำหนึ่งจักเป็นของเรา" แล้ว ผูกลำอ้อยทั้งสองลำในที่ ๆ ตัด
แล้ว เพื่อต้องการไม่ให้รสไหลออก ถือเอาแล้ว.
ได้ยินว่า ในครั้งนั้น กิจด้วยการหีบอ้อยด้วยเครื่องยนต์ ไม่มี
ในเวลาอ้อยลำที่เขาตัดที่ปลายหรือที่โคนแล้วยกขึ้น รส (อ้อย) ย่อมไหล
ออกเองทีเดียว เหมือนน้ำไหลออกจากธมกรกฉะนั้น. ก็ในเวลาที่เขาถือ
เอาลำอ้อยจากไร่เดินมา พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ภูเขาคันธมาทน์ออกจาก
สมาบัติแล้ว ใคร่ครวญว่า " วันนี้ เราจักทำการอนุเคราะห์แก่ใครหนอ
แล ?" เห็นเขาเข้าไปในข่ายคือญาณของตน และทราบความที่เขาเป็นผู้
สามารถเพื่อจะทำการสงเคราะห์ได้ จึงถือบาตรและจีวรแล้ว มาด้วยฤทธิ์
ได้ยืนอยู่ข้างหน้าของเขา.

น้องชาวถวายอ้อยแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า


เขาพอเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ก็มีจิตเลื่อมใส จึงลาดผ้าห่ม

บนภูมิประเทศที่สูงกว่า แล้วนิมนต์ให้พระปัจเจกพุทธเจ้านั่ง ด้วยคำว่า
" นิมนต์นั่งที่นี้ ขอรับ" แล้วก็กล่าวว่า " ขอท่านจงน้อมบาตรมาเถิด"
ได้แก่ที่ผูกลำอ้อย วางไว้เบื้องบนบาตร. รสไหลลงเต็มบาตรแล้ว. เมื่อ
พระปัจเจกพุทธเจ้าดื่มรส (อ้อย) นั้นแล้ว, เขาคิดว่า " ดีจริง พระผู้เป็น
เจ้าของเราดื่มรส (อ้อย) แล้ว, ถ้าพี่ชายของเราจักให้นำมูลค่ามา, เราก็จัก
ให้มูลค่า; ถ้าจักให้เรานาส่วนบุญมา, เราก็จักให้ส่วนบุญ" แล้วกล่าวว่า
" นิมนต์ท่านน้อมบาตรเข้ามาเถิด ขอรับ" แล้วได้แก้ลำอ้อยแม้ที่ 2
ถวายรส.
นัยว่า เขามิได้มีความคิดที่จะลวงแม้มีประมาณเท่านี้ว่า " พี่ชายของ
เราจักนำอ้อยลำอื่นจากไร่อ้อยมาเคี้ยวกิน" ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นผู้
ใคร่จะแบ่งรสอ้อยลำนั้นกับด้วยพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่าอื่น เพราะความที่
ตนดื่มรสอ้อยลำแรกนั้น จึงรับไว้เท่านั้น แล้วก็นั่งอยู่. เขาทราบอาการ
ของท่านแล้ว จึงไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ตั้งความปรารถนาว่า " ท่าน
ขอรับ รสอันเลิศนี้ใด ที่กระผมถวายแล้ว, ด้วยผลแห่งรสอันเลิศนี้
กระผมพึงเสวยสมบัติในเทวโลกและมนุษยโลก ในที่สุดพึงบรรลุธรรมที่
ท่านบรรลุแล้วนั่นแล." แม้พระปัจเจกพุทะเจ้า ก็กล่าวว่า " ขอความ
ปรารถนาที่ท่านตั้งไว้แล้ว จงสำเร็จอย่างนั้น" แล้วทำอนุโมทนาแก่เขา
ด้วย 2 คาถาว่า " อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ " เป็นต้น, แล้วก็อธิษฐาน
โดยประการที่เขาจะเห็นได้ แล้วเหาะไปสู่เขาคันธมาทน์โดยทางอากาศ
แล้วได้ถวายรส (อ้อย) แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า 500 รูป. เขาเห็นปาฏิหาริย์
นั้นแล้ว ไปสู่สำนักพี่ชาย, เธอพี่ชายถามว่า " เจ้าไปไหน ?" จึงบอกว่า
" ฉันไปตรวจดูไร่อ้อย " ถูกพี่ชายกล่าวว่า " จะมีประโยชน์อะไรด้วยคน

อย่างเจ้าไปไร่อ้อย, เจ้าควรจะถือเอาลำอ้อยมา 1 ลำ หรือ 2 ลำมิใช่
หรือ ?" กล่าวว่า " พี่ ถูกละ, ฉันถือเอาอ้อยมา 2 ลำ, แต่ฉันเห็น
พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง จึงถวายรสแต่ลำอ้อยของฉัน แล้วถวายรสแต่
ลำอ้อยแม้ของพี่ ด้วยคิดว่า เราจักให้มูลค่าหรือส่วนบุญ;' พี่จักรับเอา
มูลค่าอ้อยนั้นหรือจักรับเอาส่วนบุญ ? "
พี่ชาย. ก็พระปัจเจกพุทธเจ้า ทำอะไร ?
น้องชาย. ท่านดื่มรสจากลำอ้อยของฉันแล้ว ก็ถือเอารสจากลำอ้อย
ของพี่ไปสู่เขาคันธมาทน์โดยอากาศ แล้วได้ให้แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
500 รูป.

พี่ชายเลื่อมใสขออนุโมทนาส่วนบุญ


พี่ชายนั้น เมื่อเขากำลังกล่าวอยู่นั้นแหละ, เป็นผู้มีสรีระอันปีติ
ถูกต้องแล้ว หาระหว่างมิได้ ได้ทำความปรารถนาว่า " การบรรลุธรรมที่
พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเห็นแล้วนั่นแหละ พึงมีแก่เรา." น้องชายปรารถนา
สมบัติ 3 อย่าง ส่วนพี่ชายปรารถนาพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้.
นี้เป็นบุรพกรรมของชนทั้งสองนั้น.

สองพี่น้องได้เกิดร่วมกันอีกในชาติต่อมา


ชนทั้งสองนั้น ดำรงอยู่ตลอดอายุแล้ว เคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว
บังเกิดในเทวโลก ยังพุทธันดรหนึ่งให้สิ้นไป. ในเวลาชนทั้งสองนั้นไป
เทวโลกนั่นแหละ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสีเสด็จอุบัติ
ขึ้นแล้วในโลก.
พี่น้องทั้งสองแม้นั้น เคลื่อนจากเทวโลกแล้ว, ผู้พี่ชายก็คงเป็น
พี่ชาย ผู้น้องชายก็คงเป็นน้องชาย ถือปฏิสนธิในเรือนแห่งตระกูลหนึ่ง
ในพันธุมดีนคร.