เมนู

เทพยดาคิดอบายให้ภิกษุไปจากที่นั้น


เมื่อเวลาประมาณกึ่งเดือนล่วงไปแล้วอย่างนี้, เทพดาก็ติดว่า "ภิกษุ
นี้ เห็นจักอยู่ในที่นี้จริง ๆ สิ้นภายในฤดูฝน, ก็การที่เรากับบุตรน้อย
ทั้งหลายอยู่ในที่อันเดียวกันกับผู้มีศีล เป็นการทำได้ยาก; อนึ่งเราไม่อาจ
จะกล่าวกะภิกษุนี้ว่า ' ท่านจงออกไปเสีย ' ดังนี้ได้, ความพลั้งพลาดใน
ศีลของภิกษุนี้มีอยู่ไหมหนอ ?" ดังนี้แล้ว ตรวจดูอยู่ด้วยทิพยจักษุ ก็ยัง
ไม่เห็นความพลั้งพลาดในศีลของท่าน ตั้งแต่เวลาอุปสมบท จึงคิดว่า " ศีล
ของท่านบริสุทธิ์, เราจักทำเหตุบางอย่างนั่นเทียว ให้ความเสื่อมเสียเกิด
ขึ้นแก่ท่าน" ดังนี้แล้ว จึง (เข้าไป) สิงในสรีระของบุตรคนใหญ่ของ
อุบาสิกา ในตระกูลอุปัฏฐาก บิดคอแล้ว. นัยน์ตาทั้งสองของบุตรนั้น
เหลือกแล้ว, น้ำลายไหลออกจากปาก. อุบาสิกาเห็นบุตรนั้นแล้ว ร้องว่า
" นี้อะไรกัน ? "
ครั้งนั้น เทพดามีรูปไม่ปรากฏ กล่าวกะอุบาสิกานั้นอย่างนี้ว่า " บุตร
นั่นเราจับไว้แล้ว, เราไม่มีความต้องการแม้ด้วยพลีกรรม, แต่ท่านจงขอ
ชะเอมเครือกะพระเถระผู้เข้าถึงตระกูลของท่านแล้ว เอาชะเอมเครือนั้น
ทอดน้ำมันแล้ว จงให้แก่บุตรนี้โดยวิธีนัดถุเถิด, เมื่อทำอย่างนี้ เราจึง
จักปล่อยบุตรนี้."
อุบาสิกา. บุตรนั่น จงฉิบหายหรือตายไปก็ตามเถิด, ฉันไม่อาจจะ
ขอชะเอมเครือกะพระผู้เป็นเจ้าได้.
เทพดา. ถ้าท่านไม่อาจจะขอชะเอมเครือไซร้, ท่านจงบอกเพื่อใส่
ผงหิงคุลงในจมูกของบุตรนั้น.
อุบาสิกา. ฉันไม่อาจเพื่อกล่าวคำแม้อย่างนี้ได้.

เทพดา. ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเทน้ำล้างเท้าของพระเถระนั้น ลงบน
ศีรษะ (บุตร) เถิด.
อุบาสิกากล่าวว่า " ฉันอาจทำข้อนี้ได้," นิมนต์ให้พระเถระผู้มาตาม
เวลานั่งแล้ว ถวายข้าวยาคูและของเคี้ยว ล้างเท้าของพระเถระผู้นั่งอยู่ใน
ระหว่างภัต รองเอาน้ำไว้แล้ว เรียนให้ทราบว่า " ท่านผู้เจริญ ฉันจะรด
น้ำนี้ลงบนศีรษะของเด็ก," เมื่อท่านอนุญาตว่า " จงรดเถิด," ได้ทำ
อย่างนั้นแล้ว. เทพดาปล่อยเด็กนั้นในขณะนั้นเอง แล้วได้ไปยืนอยู่ที่
ประตูถ้ำ
แม้พระเถระ ในเวลาเสร็จภัตกิจ ลุกจากอาสนะ สาธยายอาการ
32 อยู่เทียว เพราะความที่ท่านเป็นผู้ไม่ละเลยกัมมัฏฐาน หลีกไปแล้ว.
ครั้นในเวลาท่านถึงประตูถ้ำ เทพดานั้นกล่าวกะท่านว่า " พ่อ
หมอใหญ่ ท่านอย่าเข้ามาในที่นี้." ท่านยืนอยู่ ณ ที่นั้นเอง กล่าวว่า
" ท่านเป็นใคร ? "
เทพดา. ข้าพเจ้าเป็นเทพดาผู้สิงอยู่ในที่นี้.
พระเถระคิดว่า " ที่อันเราทำเวชกรรมมีอยู่หรือหนอแล ?" ดังนี้
แล้ว ตรวจดูจำเติมแต่กาลอุปสมบท ก็ยังไม่เห็นความเศร้าหมองหรือด่าง
พร้อยในศีลของตน จึงกล่าวว่า " ข้าพเจ้าไม่เห็นที่ที่ข้าพเจ้าทำเวชกรรม
เลย, ท่านกล่าวอย่างนี้ เพราะเหตุไร ?"
เทพดา. ท่านไม่เห็นหรือ ?
พระเถระ. เออ เราไม่เห็น.
เทพดา. ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะบอกแก่ท่าน.
พระเถระ. (เชิญ) ท่านจงบอก.

เทพดา. การพูดในสิ่งที่ไกลจงยกไว้ก่อนเถิด, ในวันนี้เอง ท่าน
รดน้ำล้างเท้าแก่บุตรของอุปัฏฐาก ซึ่งถูกอมนุษย์สิงแล้ว บนศีรษะ หรือ
ไม่ได้รด.
พระเถระ. เออ เราได้รด.
เทพดา. นั่นเป็นไรเล่า ? ท่านไม่เห็นหรือ ?
พระเถระ. ท่านกล่าวประสงค์เหตุนั่นหรือ ?
เทพดา. จ้ะ ข้าพเจ้ากล่าวประสงค์เหตุนั่น.

ผู้มีศีลบริสุทธิ์ไม่ต้องร้อนใจ


พระเถระติดว่า " โอหนอ ตนเราตั้งไว้ชอบแล้ว, เราประพฤติ
สมควรแก่ศาสนาแล้วจริง, แม้เทพดามิได้เห็นความเศร้าหมองหรือด่าง
พร้อยในจตุปาริสุทธิศีลของเรา ได้เห็นแต่เพียงน้ำล้างเท้า อันเรารดแล้ว
บนศีรษะของทารก." ปีติมีกำลังเพราะปรารภศีลเกิดขึ้นแล้วแก่ท่าน. ท่าน
ข่มปีติอันมีกำลังนั้นไว้แล้ว ไม่ทำแม้การยกเท้าขึ้น บรรลุพระอรหัตใน
ที่นั้นนั่นเอง แล้วกล่าวว่า " ท่านประทุษร้ายสมณะผู้บริสุทธิ์เช่นเรา, ท่าน
อย่าอยู่ในชัฏแห่งป่านี้, ท่านนั่นแล จงออกไปเสีย" เมื่อจะสอนเทวดา
จึงเปล่งอุทานนี้ว่า :-
" การอยู่ของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ, ท่านอย่า
ประทุษร้ายเราผู้ไม่มีมลทิน ผู้มีตบะ ผู้บริสุทธิ์แล้ว,
ท่านจงออกจากป่าใหญ่เสียเถิด."

ท่านอยู่ในที่นั้นนั่นแล ตลอดไตรมาส ออกพรรษาแล้วไปยังสำนัก
พระศาสดา ถูกภิกษุทั้งหลายถามว่า " ผู้มีอายุ กิจแห่งบรรพชิตท่านให้