เมนู

เขารับว่า " ดีละ ท่านผู้เจริญ " แล้ว ไหว้พระปัจเจกพุทธะนั้น
แล้วไปสู่สำนักของเศรษฐี กล่าวว่า " นาย ขอท่านจงรับเอาส่วนบุญเถิด."
เศรษฐี. ถ้ากระนั้น พ่อจงรับเอากหาปณะเหล่านี้ไป.
อันนภาระ. กระผมไม่ได้ขายบิณฑบาต, กระผมให้ส่วนบุญแก่ท่าน
ด้วยศรัทธา.
เศรษฐีกล่าวว่า " เจ้าให้ด้วยศรัทธา, ถึงเราก็บูชาคุณของเจ้า;
ด้วยศรัทธา จงรับเอาไปเถิดพ่อ, อนึ่ง จำเดิมแต่นี้ไป เจ้าอย่าได้ทำการ
งานด้วยมือของตน, จงปลูกเรือนอยู่ริมถนนเถิด, และจงถือเอาวัตถุ
ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ จากสำนักของฉัน. "
ก็บิณฑบาตที่บุคคลถวายแก่ท่านผู้ออกจากนิโรธ ย่อมให้ผลในวัน
นั้นนั่นเอง; เพราะฉะนั้น แม้พระราชาทรงสดับความเป็นไปนั้นแล้ว จึง
รับสั่งให้เรียกอันนภาระมาแล้ว ทรงรับส่วนบุญ พระราชทานโภคะมาก
มาย แล้วรับสั่งให้พระราชทานตำแหน่งเศรษฐีแก่เขา.

ประวัติพระอนุรุทธะ


อันนภาระนั้น เป็นสหายของสุมนเศรษฐี ทำบุญทั้งหลายตลอด
ชีวิต จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลก
และมนุษยโลก, ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในตำหนักของเจ้าศากยะ
พระนามว่าอมิโตทนะ ในพระนครกบิลพัสดุ์. พระประยูรญาติทั้งหลาย
ทรงขนานพระนามแก่พระกุมารนั้นว่า " อนุรุทธะ. " พระกุมารนั้น เป็น
พระกนิษฐภาดาของเจ้ามหานามศากยะ เป็นพระโอรสของพระเจ้าอาของ
พระศาสดา ได้เป็นผู้สุขุมาลชาติอย่างยิ่ง มีบุญมาก.

ได้ยินว่า วันหนึ่ง เมื่อกษัตริย์หกพระองค์เล่นขลุบเอาขนมทำ
คะแนนกัน, เจ้าอนุรุทธะแพ้, จึงส่งข่าวไปยังสำนักของพระมารดาเพื่อ
ต้องการขนม. พระมารดานั้น เอาภาชนะทองคำใบใหญ่บรรจุให้เต็มแล้ว
ส่งขนม (ให้). เจ้าอนุรุทธะเสวยขนมแล้ว ทรงเล่นแพ้อีก ก็ส่งข่าวไป
อย่างนั้นเหมือนกัน.
เมื่อคนนำขนมมาอย่างนั้นถึง 3 ครั้ง, ในครั้งที่ 4 พระมารดาส่งข่าว
ไปว่า " บัดนี้ ขนมไม่มี." เจ้าอนุรุทธะ ทรงสดับคำของพระมารดานั้น,
แล้ว ทำความสำคัญว่า " ขนมที่ชื่อว่าไม่มี จักมีในบัดนี้ " เพราะความ
ที่บทว่า " ไม่มี " เป็นบทที่ตนไม่เคยสดับแล้ว จึงทรงส่งไปด้วยพระดำรัส
ว่า " เจ้าจงไป, จงนำขนมไม่มีมา."
ครั้งนั้นพระมารดาของพระกุมารนั้น, เมื่อคนรับใช้ ทูลว่า " ข้าแต่
พระแม่เจ้า นัยว่า ขอพระแม่เจ้าจงให้ขนมไม่มี," จึงทรงดำริว่า " บทว่า
' ไม่มี ' อันบุตรของเราไม่เคยฟังมาแล้ว, เราพึงให้เขารู้ความที่ขนมไม่มี
นั้นอย่างไรได้หนอแล ?" จึงทรงล้างถาดทองคำปิดด้วยถาดทองคำใบอื่น
ส่งไปว่า " เอาเถิด พ่อ เจ้าจงให้ถาดทองคำนี้แก่บุตรของเรา. "
ขณะนั้น เทพดาทั้งหลายผู้รักษาพระนคร คิดว่า " เจ้าอนุรุทธะ
ผู้เป็นเจ้าของพวกเรา ถวายภัตอันเป็นส่วน (ของตน) แก่พระปัจเจกพุทธะ
นามว่าอุปริฏฐะ แล้วตั้งความปรารถนาไว้ว่า ' เราไม่พึงได้ฟังบทว่า
ไม่มี ' ในกาลแห่งตนเป็นคนขนหญ้าชื่ออันนภาระ. หากว่า เราทราบ
ความนั้นแล้ว พึงเฉยเสียไซร้, แม้ศีรษะของเราพึงแตกออก 7 เสี่ยง "
จึงบรรจุถาดให้เต็มด้วยขนมทิพย์ทั้งหลายแล้ว . บุรุษนั้นนำถาดมาวางไว้ใน
สำนักของเจ้าศากยะเหล่านั้น แล้วเปิดออก. กลิ่นของขนมทิพย์เหล่านั้น

แผ่ซ่านไปทั่วพระนคร. ก็เมื่อขนมพอสักว่าอันเจ้าศากยะเหล่านั้น ทรงวาง
ไว้ในพระโอษฐ์ กลิ่นนั้นได้แผ่ไปสู่เส้นสำหรับรสตั้ง 7 พันตั้งอยู่แล้ว.
เจ้าอนุรุทธะทรงดำริว่า "ในกาลก่อนแต่นี้ พระมารดาเห็นจะไม่
ทรงรักเรา. เพราะในกาลอื่น พระองค์ท่านไม่เคยทอดขนมไม่มีแก่เรา. "
พระกุมารนั้นไปแล้ว ทูลกะพระมารดาอย่างนี้ว่า " ข้าแต่พระมารดา
หม่อมฉันไม่เป็นที่รักของพระองค์หรือ ?"
มารดา. พ่อ พูดอะไร ? เจ้าเป็นที่รักยิ่งของแม่ แม้กว่านัยน์ตา
ทั้งสอง แม้กว่าเนื้อในหทัย.
อนุรุทธะ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ถ้าหม่อมฉันเป็นที่รักของพระองค์ไซร้.
เพราะเหตุอะไร ? ในกาลก่อน พระองค์จึงไม่ได้ประทานขนมไม่มีเห็น
ปานนี้แก่หม่อมฉัน.
พระนางตรัสถามบุรุษนั้นว่า " พ่อ อะไรได้มีในถาดหรือ ?"
บุรุษนั้นทูลว่า " มี พระแม่เจ้า, ถาดเต็มเปี่ยมด้วยขนมทั้งหลาย,
ขนมเห็นปานนี้ ข้าพระองค์ไม่เคยเห็น."
พระนางดำริว่า " บุตรของเราได้ทำบุญไว้แล้ว, ขนมทิพย์จัก
เป็นของอันเทพดาทั้งหลายส่งไปให้บุตรของเรา."
แม้เจ้าอนุรุทธะ ก็ทูลกะพระมารดาว่า " ข้าแต่พระแม่เจ้า ขนม
เห็นปานนี้ หม่อมฉันไม่เคยกินเลย, จำเดิมแต่นี้ พระองค์พึงทอดเฉพาะ
ขนมไม่มีเท่านั้น แก่หม่อมฉัน."
จำเดิมแต่นั้น พระนางทรงล้างถาดทองคำแล้ว ปิดด้วยถาดใบอื่น
ส่งไป (ให้) ในเวลาเจ้าอนุรุทธะทูลว่า " หม่อมฉันมีประสงค์จะบริโภค
ขนม." เทพดาทั้งหลายย่อมยังถาดให้เต็ม (ด้วยขนม). พระกุมารนั้น

เมื่ออยู่ในท่ามกลางวัง มิได้ทราบเนื้อความแห่งบทว่า "ไม่มี" ด้วย
อาการอย่างนี้ เสวยแต่ขนมทิพย์ทั้งนั้น.
ก็เมื่อโอรสของเจ้าศากยะผนวชตามลำดับตระกูล เพื่อเป็นบริวาร
ของพระศาสดา, เมื่อเจ้ามหานามศากยะตรัสว่า " พ่อ ในตระกูลของพวก
เรา ใคร ๆ ซึ่งบวชแล้วไม่มี, เธอหรือฉันควรจะบวช." เจ้าอนุรุทธะ
ตรัสว่า " หม่อมฉันเป็นสุขุมาลชาติอย่างยิ่ง ไม่สามารถจะบวชได้."
เจ้ามหานาม. ถ้ากระนั้น เธอจงเรียนการงานเสีย. ฉันจักบวช.
เจ้าอนุรุทธะ. ชื่อว่าการงานนี้ เป็นอย่างไร ?
จริงอยู่ เจ้าอนุรุทธะย่อมไม่ทราบแม้ที่เกิดขึ้นแห่งภัต, จักทราบ
การงานได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้น จึงตรัสอย่างนั้น.
ก็วันหนึ่ง เจ้าศากยะสามพระองค์ คือ อนุรุทธะ ภัททิยะ กิมพิละ
ปรึกษากันว่า " ชื่อว่าภัต เกิดในที่ไหน ?" บรรดาเจ้าศากยะทั้งสาม
พระองค์นั้น เจ้ากิมพิละตรัสว่า " ภัตเกิดขึ้นในฉาง." ได้ยินว่าวันหนึ่ง
เจ้ากิมพิละนั้น ได้เห็นข้าวเปลือกที่เขาขึ้นใส่ในฉาง; เพราะฉะนั้น จึงตรัส
อย่างนี้ ด้วยสำคัญว่า " ภัต ย่อมเกิดขึ้นในฉาง."
ครั้งนั้น เจ้าภัททิยะตรัสกะเจ้ากิมพิละนั้นว่า " ท่านยังไม่ทราบ "
ดังนี้แล้ว ตรัสว่า " ธรรมดาภัต ย่อมเกิดขึ้นในหม้อข้าว." ได้ยินว่า
วันหนึ่ง เจ้าภัททิยะนั้น เห็นชนทั้งหลายคดภัตออกจากหม้อข้าวนั้นแล้ว
ได้ทำความสำคัญว่า " ภัตนั่นเกิดขึ้นในหม้อนี้เอง," เพราะฉะนั้น จึงตรัส
อย่างนั้น.
เจ้าอนุรุทธะตรัสกะเจ้าทั้งสองนั้นว่า " แม้ท่านทั้งสองก็ยังไม่
ทราบ" แล้วตรัสว่า " ภัตเกิดขึ้นในถาดทองคำใบใหญ่1 ซึ่งสูงได้
1. โตก.

ศอกกำมา." ได้ยินว่า ท่านไม่เคยเห็นเขาตำข้าวเปลือก ไม่เคยเห็นเขาหุงภัต,
ท่านเห็นแต่ภัตที่เขาคดออกไว้ในถาดทองคำแล้ว ตั้งไว้ข้างหน้าเท่านั้น;
เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้ทำความสำคัญว่า " ภัตนั่น ย่อมเกิดขึ้นในถาด
นั่นเอง; เพราะฉะนั้น จึงตรัสอย่างนั้น. กุลบุตรผู้มีบุญมาก เมื่อไม่รู้แม้
ที่เกิดขึ้นแห่งภัตอย่างนั้น จักรู้การงานทั้งหลายอย่างไรได้.
เจ้าอนุรุทธะนั้น ได้สดับความที่การงานทั้งหลายที่เจ้าพี่ตรัสบอก
โดยนัยเป็นต้นว่า " อนุรุทธะ จงมาเถิด, ฉันจักสอนเพื่อการอยู่ครองเรือน
แก่เธอ: อันผู้อยู่ครองเรือน จำต้องไถนาก่อน " ดังนี้ เป็นของไม่มีที่สุด
จึงทูลลาพระมารดาว่า " ความต้องการด้วยการอยู่ครองเรือนของหม่อมฉัน
ไม่มี" แล้วเสด็จออกไปพร้อมกับพระโอรสของเจ้าศากยะห้าพระองค์มีเจ้า
ภัททิยะเป็นประมุข เข้าไปเฝ้าพระศาสดาที่อนุปิยอัมพวัน ทรงผนวชแล้ว,
ก็แลครั้นผนวชแล้ว พระอนุรุทธะเป็นผู้ปฏิบัติชอบ ทำให้แจ้งซึ่งวิชชา 3
โดยลำดับ เป็นผู้นั่งบนอาสนะเดียว สามารถเล็งดูโลกธาตุพ้นหนึ่งได้
ด้วยทิพยจักษุ ดุจผลมะขามป้อมที่บุคคลวางไว้บนฝ่ามือฉะนั้น จึงเปล่ง
อุทานขึ้นว่า :-
" เราย่อมระลึกได้ซึ่งบุพเพนิวาส,1 ทิพยจักษุเรา
ก็ชำระแล้ว, เราเป็นผู้ได้วิชชา 3 เป็นผู้ถึงฤทธิ์,
คำสอนของพระพุทธเจ้า อันเราทำแล้ว."

พิจารณาดูว่า " เราทำกรรมอะไรหนอ ? จึงได้สมบัตินี้ " ทราบได้ว่า
" เราได้ตั้งความปรารถนาไว้แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า
ปทุมุตตระ " ทราบ (ต่อไป) อีกว่า " เราท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร ในกาล
1. ขันธ์อันอาศัยอยู่ในกาลก่อน.

ชื่อโน้น ได้อาศัยสุมนเศรษฐี ในกรุงพาราณสีเลี้ยงชีพ เป็นผู้ชื่อว่า
อันนภาระ" ดังนี้แล้ว กล่าวว่า :-
" ในกาลก่อน เราเป็นผู้ชื่อว่าอันนภาระ เป็นคน
เข็ญใจ ขนหญ้า เราถวายบิณฑบาตแก่พระอุปริฏฐ-
ปัจเจกพุทธะ ผู้มียศ."

พระเถระระลึกถึงสหายเก่า


ครั้งนั้น ท่านได้มีความปริวิตกฉะนี้ว่า " สุมนเศรษฐีผู้เป็นสหาย
ของเรา ได้กหาปณะแล้วรับเอาส่วนบุญจากบิณฑบาตซึ่งเราถวายแก่พระ-
อุปริฏฐปัจเจกพุทธะ ในกาลนั้น, บัดนี้ เกิดในที่ไหนหนอแล ?" ทีนั้น
ท่านได้เล็งเห็นเศรษฐีนั้นว่า " บ้านชื่อว่ามุณฑนิคม มีอยู่ที่เชิงเขาใกล้ดงไฟ
ไหม้. อุบาสกชื่อมหามุณฑะในมุณฑนิคมนั้น มีบุตรสองคน คือมหาสุมนะ,
จูฬสุมนะ, ในบุตรสองคนนั้น สุมนเศรษฐี เกิดเป็นจูฬสุมนะ; " ก็แล
ครั้นเห็นแล้ว คิดว่า " เมื่อเราไปในที่นั้น, อุปการะจะมีหรือไม่มีหนอ ?"
ท่านใคร่ครวญอยู่ได้เห็นเหตุนี้ว่า " เมื่อเราไปในที่นั้น. จูฬสุมนะนั้น
มีอายุ 7 ขวบเท่านั้นจักออกบวช, และจักบรรลุพระอรหัตในเวลาปลงผม
เสร็จนั่นเอง:" ก็แลท่านครั้นเห็นแล้ว เมื่อภายในกาลฝนใกล้เข้ามา จึง
ไปทางอากาศลงที่ประตูบ้าน. ส่วนมหามุณฑอุบาสก เป็นผู้คุ้นเคยของ
พระเถระแม้ในกาลก่อนเหมือนกัน. เขาเห็นพระเถระครองจีวรในเวลา
บิณฑบาต จึงกล่าวกะมหาสุมนะผู้บุตรว่า " พ่อ พระผู้เป็นเจ้าอนุรุทธ-
เถระของเรามาแล้ว; เจ้าจงไปรับบาตรของท่านให้ทันเวลาที่ใครๆ คนอื่น
ยังไม่รับบาตรของท่านไป; พ่อจักให้เขาปูอาสนะไว้." มหาสุมนะได้ทำ
อย่างนั้นแล้ว. อุบาสกอังคาสพระเถระภายในเรือนโดยเคารพแล้ว รับ