เมนู

ส่วนนางพราหมณีของเขา กำลังเลี้ยงดูเขาอยู่ เห็นพระศาสดาจึง
คิดว่า " พราหมณ์นี้ ถวายทานอันเลิศในฐานะทั้ง 5 ( ก่อน ) แล้วจึง
บริโภค, ก็บัดนี้ พระสมณโคดมเสด็จมาประทับยืนอยู่ที่ประตู; ถ้าว่า
พราหมณ์เห็นพระสมณโคคมนี่แล้ว จักนำภัตของตนไปถวาย, เราจัก
ไม่อาจเพื่อจะหุงต้มเพื่อเขาได้อีก." นางคิดว่า " พราหมณ์นี้จักไม่เห็น
พระสมณโคดมด้วยอาการอย่างนี้" จึงหันหลัง1ให้เพระศาสดา ได้ยืนก้ม
ลงบังพระศาสดานั้นไว้ข้างหลังพราหมณ์นั้น ประดุจบังพระจันทร์เต็มดวง
ด้วยฝ่ามือฉะนั้น. นางพราหมณียืนอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ แล้วก็ชำเลือง2
ดูพระศาสดาด้วยหางตา ด้วยคิดว่า " พระศาสดาเสด็จไปแล้วหรือยัง."

พราหมณ์เห็นพระศาสดา


พระศาสดาได้ประทับยืนอยู่ในที่เดิมนั่นเอง. ส่วนนางมิได้พูดว่า
" นิมนต์พระองค์โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด " ก็เพราะกลัวพราหมณ์จะได้ยิน,
แต่นางถอยไป แล้วพูดค่อย ๆ ว่า " นิมนต์โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด."
พระศาสดาทรงสั่นพระเศียร3ด้วยอาการอันทรงแสดงว่า " เราจักไม่
ไป " เมื่อพระพุทธเจ้าผู้เป็นที่เคารพของชาวโลก ทรงสั่นพระเศียรด้วย
อาการอันแสดงว่า " เราจักไม่ไป," นางไม่อาจอดกลั้นไว้ได้ จึงหัวเราะ
ดังลั่นขึ้น.
ขณะนั้น พระศาสดาทรงเปล่งพระรัศมีไปตรงเรือน. แม้พราหมณ์
นั่งหันหลังให้แล้วนั่นแล ได้ยินเสียงหัวเราะของนางพราหมณี และมอง
เห็นแสงสว่างแห่งพระรัศมีอันมีวรรณะ 6 ประการ จึงได้เห็นพระศาสดา.
1. สตฺถุ ปิฏฺฐึ ทตฺวา ให้ซึ่งหลังแด่พระศาสดา. 2. สตฺถารํ อฑฺฒกฺขิเกน โอโบเกสิ มอง
ดูพระศาสดาด้วยตาครึ่งหนึ่ง. 3. เพ่งเพื่อจะพูดอย่างเดียว หาใส่ใจถึงเสขิยวัตรไม่.
.

พราหมณ์ถวายภัตแด่พระศาสดา


ธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายยังไม่ได้ทรงแสดงพระองค์แก่ชน
ทั้งหลายผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยเหตุ ในบ้านหรือในป่าแล้ว ย่อมไม่เสด็จหลีก
ไป. แม้พราหมณ์เห็นพระศาสดาแล้ว จึงพูดว่า " นางผู้เจริญ หล่อน
ไม่บอกพระราชบุตรผู้เสด็จมาประทับยืนอยู่ที่ประตูแก่เรา ให้เราฉิบหาย
เสียแล้ว, หล่อนทำกรรมหนัก" ดังนี้แล้ว ก็ถือเอาภาชนะแห่งโภชนะที่
ตนบริโภคแล้วครั้งหนึ่ง ไปยังสำนักพระศาสดา แล้วกราบทูลว่า " ข้าแต่
พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ถวายทานอันเลิศในฐานะทั้ง 4 แล้ว จึง
บริโภค; แต่ส่วนแห่งภัตส่วนหนึ่งเท่านั้น อันข้าพระองค์แบ่งครึ่งจาก
ส่วนนี้บริโภค, ส่วนแห่งภัตส่วนหนึ่งยังเหลืออยู่; ขอพระองค์ได้โปรด
รับภัตส่วนนี้ของข้าพระองค์เถิด."

พราหมณ์เลื่อมใสพระดำรัสของพระศาสดา


พระศาสดาไม่ตรัสว่า " เราไม่มีความต้องการด้วยภัตอันเป็นเดน
ของท่าน" ตรัสว่า " พราหมณ์ ส่วนอันเลิศก็ดี ภัตที่ท่านแบ่งครึ่งบริโภค
แล้วก็ดี เป็นของสมควรแก่เราทั้งนั้น, แม้ก้อนภัตที่เป็นเดน เป็นของ
สมควรแก่เราเหมือนกัน, พราหมณ์ เพราะพวกเราเป็นผู้อาศัยอาหารที่
ผู้อื่นให้เลี้ยงชีพ เป็นเช่นกับพวกเปรต" แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า:-
" ภิกษุผู้อาศัยอาหารที่บุคคลอื่นให้เลี้ยงชีพ ได้
ก้อนภัตอันใดจากส่วนที่เลิศก็ตาม จากส่วนปาน
กลางก็ตาม จากส่วนที่เหลือก็ตาม. ภิกษุนั้นเป็นผู้
ไม่ควรเพื่อชมก้อนภัตนั้น, และไม่เป็นผู้ติเตียน