เมนู

พระศาสดารับสั่งให้เรียกภิกษุนั้นมาแล้ว ตรัสถามว่า " ได้ยินว่า
เธอได้ทำอย่างนั้น จริงหรือ ?."
ภิกษุ. จริง พระเจ้าข้า, ข้าพระองค์อาศัยภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งอยู่ใน
ที่นั้น 2-3 วัน; ก็แต่ว่า ข้าพระองค์มิได้ชอบใจลัทธิของพระเทวทัต.

ภิกษุควรยินดีในลาภของตนเท่านั้น


ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะเธอว่า " เธอไม่ชอบใจลัทธิ
(ของพระเทวทัต ) ก็จริง, ถึงอย่างนั้น เธอเที่ยวไปประหนึ่งว่าชอบใจ
ลัทธิของชนผู้ที่เธอพบเห็นแล้วทีเดียว; เธอทำอย่างนั้นในบัดนี้เท่านั้นก็หา
มิได้, แม้ในกาลก่อน เธอก็เป็นผู้เห็นปานนั้นเหมือนกัน," อันภิกษุ
ทั้งหลายทูลวิงวอนว่า " พระเจ้าข้า ในบัดนี้ พวกข้าพระองค์เห็นภิกษุนี้
ด้วยตนเองก่อน, แต่ในกาลก่อน ภิกษุนี่พอใจลัทธิของใครเที่ยวไป ?
ขอพระองค์โปรดตรัสบอกแก่พวกข้าพระองค์เถิด," จึงทรงนำอดีตนิทาน
มา ทรงยังมหิลามุขชาดก1 นี้ให้พิสดารว่า :-
" ช้างชื่อมหิลามุข ฟังคำของพวกโจรก่อนแล้ว
เที่ยวฟาดบุคคลผู้ไปตามอยู่, แต่พอฟังคำของสมณะ
ผู้สำรวมดีแล้ว ก็เป็นช้างประเสริฐ ตั้งอยู่แล้วในคุณ
ทั้งปวง."

แล้วตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุเป็นผู้ยินดีด้วยลาภของตน
เท่านั้น, การปรารถนาลาภของผู้อื่น ไม่สมควร, เพราะบรรดาฌาน
วิปัสสนา มรรค และผลทั้งหลาย แม้ธรรมสักอย่างหนึ่งย่อมไม่เกิดขึ้น
1. ขุ. ชา. 27/9. อรรถกถา. 1/ 279.