เมนู

พระศาสดาทรงแก้ปัญหา


พระศาสดาตรัสว่า " ดีละ มหาบพิตร ตถาคตบำเพ็ญบารมี 30
ทัศ บริจาคมหาบริจาค1 แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ก็เพื่อตัด
ความสงสัยของชนผู้เช่นพระองค์นี่แหละ, ขอพระองค์จงทรงสดับปัญหาที่
พระองค์ถามแล้วเถิด: บรรดาทานทุกชนิด ธรรมทานเป็นเยี่ยม, บรรดา
รสทุกชนิด รสแห่งพระธรรมเป็นยอด, บรรดาความยินดีทุกชนิด ความ
ยินดีในธรรมประเสริฐ, ส่วนความสิ้นไปแห่งตัณหาประเสริฐที่สุดแท้
เพราะความเป็นเหตุให้สัตว์บรรลุพระอรหัต" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถา
นี้ว่า :-
10. สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
สพฺพํ รสํ ธมฺมรโส ชินาติ
สพฺพํ รตึ ธมฺมรตี ชินาติ
ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชนาติ.
" ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง, รสแห่ง
ธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง, ความยินดีในธรรม
ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง, ความสิ้นไปแห่งตัณหา
ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพทานํ เป็นต้น ความว่า ก็ถ้า
บุคคลถึงถวายไตรจีวรเช่นกับใบตองอ่อน แด่พระพุทธเจ้าพระปัจเจก-
พุทธเจ้าแล้วพระขีณาสพทั้งหลาย ผู้นั่งติด ๆ กัน ในห้องจักรวาลตลอด
1. หมายถึงบริจาค 5 คือ :- 1. องฺคปริจฺจาค บริจาคอวัยวะ. 2. ธนปริจาค บริจาค
ทรัพย์. 3. ปุตฺตปริจฺจาค บริจาคบุตร. 4. ทารปริจฺจาค บริจาคเมีย. 5. ชีวิตปริจฺจาค
บริจาคชีวิต.

ถึงพรหมโลก. การอนุโมทนาเทียว ที่พระพุทธเจ้าเป็นต้นทรงทำด้วย
พระคาถา 4 บาทในสมาคมนั้นประเสริฐ; ก็ทานนั้น หามีค่าถึงเสี้ยว
ที่ 16 แห่งพระคาถานั้นไม่: การแสดงก็ดี การกล่าวสอนก็ดี การสดับ
ก็ดี ซึ่งธรรม เป็นของใหญ่ ด้วยประการฉะนี้. อนึ่ง บุคคลใดให้ทำ
การฟังธรรม, อานิสงส์เป็นอันมากก็ย่อมมีแก่บุคคลนั้นแท้. ธรรมทาน
นั่นแหละ ที่พระพุทธเจ้าเป็นต้นให้เป็นไปแล้ว แม้ด้วยอำนาจอนุโมทนา
โดยที่สุดด้วยพระคาถา 4 บาท ประเสริฐที่สุดกว่าทานที่ทายกบรรจุบาตร
ให้เต็มด้วยบิณฑบาตอันประณีตแล้วถวายแก่บริษัทเห็นปานนั้นนั่นแหละ
บ้าง กว่าเภสัชทานที่ทายกบรรจุบาตรให้เต็มด้วยเนยใสและน้ำมันเป็นต้น
แล้วถวายบ้าง กว่าเสนาสนทานที่ทายกให้สร้างวิหารเช่นกับมหาวิหาร
และปราสาทเช่นกับโลหปราสาทตั้งหลายแสนแล้วถวายบ้าง กว่าการบริจาค
ที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นต้นปรารภวิหารทั้งหลายแล้วทำบ้าง. เพราะ
เหตุไร ? เพราะว่าชนทั้งหลาย เมื่อจะทำบุญเห็นปานนั้น ต่อฟังธรรม
แล้วเท่านั้นจึงทำได้. ไม่ได้ฟัง ก็หาทำได้; ก็ถ้าว่าสัตว์เหล่านี้ไม่พึง
ฟังธรรมไซร้, เขาก็ไม่พึงถวายข้าวยาคูประมาณกระบวยหนึ่งบ้าง ภัต
ประมาณทัพพีหนึ่งบ้าง; เพราะเหตุนี้ ธรรมทานนั่นแหละ จึงประเสริฐ
ที่สุดกว่าทานทุกชนิด.
อีกอย่างหนึ่ง เว้นพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าเสีย แม้
พระสาวกทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้น ผู้ประกอบด้วยปัญญา ซึ่งสามารถ
นับหยาดน้ำได้ ในเมื่อฝนตกตลอดกัลป์ทั้งสิ้น ก็ยังไม่สามารถจะบรรลุ
โสดาปัตติผลเป็นต้น โดยธรรมดาของตนได้; ต่อฟังธรรมที่พระอัสสชิ-
เถระเป็นต้นแสดงแล้ว จึงทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล, และทำให้แจ้งซึ่ง

สาวกบารมีญาณ ด้วยพระธรรมเทศนาของพระศาสดา; เพราะเหตุแม้นี้
มหาบพิตร1 ธรรมทานนั่นแหละจึงประเสริฐที่สุด. เพราะเหตุนั้น พระ-
ศาสดาจึงตรัสว่า "สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ. "
อนึ่ง รสมีรสเกิดแต่ลำต้นเป็นต้นทุกชนิด โดยส่วนสูงแม้รสแห่ง
สุธาโภชน์ของเทพดาทั้งหลาย ย่อมเป็นปัจจัยแห่งการยิ่งสัตว์ให้ตกไปใน
สังสารวัฏ แล้วเสวยทุกข์โดยแท้. ส่วนพระธรรมรสกล่าวคือโพธิปักขิย-
ธรรม 37 ประการ และกล่าวคือโลกุตรธรรม 9 ประการนี้แหละ
ประเสริฐกว่ารสทั้งปวง. เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า " สพฺพรสํ
ธมฺมรโส ชินาติ."

อนึ่ง แม้ความยินดีในบุตร ความยินดีในธิดา ความยินดีในทรัพย์
ความยินดีในสตรี และความยินดีมีประเภทมิใช่อย่างเดียวอันต่างด้วยความ
ยินดีในการฟ้อนการขับการประโคมเป็นต้น ย่อมเป็นปัจจัยแห่งการยัง
สัตว์ให้ตกไปในสังสารวัฏ แล้วเสวยทุกข์โดยแท้; ส่วนความอิ่มใจ ซึ่ง
เกิดขึ้น ณ ภายในของผู้แสดงก็ดี ผู้ฟังก็ดี ผู้กล่าวสอนก็ดี ซึ่งธรรม ย่อม
ให้เกิดความเบิกบานใจ ให้น้ำตาไหล ให้เกิดขึ้นชูชัน ความอิ่มใจนั้น
ย่อมทำที่สุดแห่งสังสารวัฏ มีพระอรหัตเป็นปริโยสาน; ความยินดีใน
ธรรม เห็นปานนี้แหละ ประเสริฐกว่าความยินดีทั้งปวง. เพราะเหตุนั้น
พระศาสดา จึงตรัสว่า "สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ."
ส่วนความสิ้นไปแห่งตัณหา คือพระอรหัตซึ่งเกิดขึ้นในที่สุดแห่ง
1. น่าจะเป็นบทเกิน, เพราะใครไม่สามารถทำเนื้อความเช่นนี้ ให้พระดำรัสของพระศาสดาได้.
2. Celestial food ambrosia อาหารทิพย์ (อาหารของเทพดาในเรื่องนิยาย
ถือกันว่าทำให้ผู้บริโภคไม่ตาย ให้ความงามและความหนุ่มสาวอยู่ชั่วนิรันดร) ของเกินเครื่องดื่ม
อันโอชารส.

ความสิ้นไปแห่งตัณหา, พระอรหัตนั้น ประเสริฐกว่าทุกอย่างแท้ เพราะ
ครอบงำวัฏทุกข์แม้ทั้งสิ้น. เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า
" ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ."
เมื่อพระศาสดา ตรัสเนื้อความแห่งพระคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้
อยู่นั่นแล ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ 8 หมื่น 4 พันแล้ว.
แม้ท้าวสักกะ ทรงสดับธรรมกถาของพระศาสดา ถวายบังคมพระ-
ศาสดาแล้ว ทูลว่า พระเจ้าข้า เพื่อประโยชน์อะไร พระองค์จึงไม่รับสั่งให้
ให้ส่วนบุญแก่พวกข้าพระองค์ ในธรรมทานอันชื่อว่าเยี่ยมอย่างนี้ ? จำเดิม
แต่นี้ไป ขอพระองค์ได้โปรดตรัสบอกแก่ภิกษุสงฆ์แล้วรับสั่งให้ ๆ ส่วน
บุญแก่พวกข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า." พระศาสดา ทรงสดับคำของ
ท้าวเธอแล้ว รับสั่งให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเธอทำการฟังธรรมใหญ่ก็ดี การฟังธรรมตาม
ปกติก็ดี กล่าวอุปนิสินนกถาก็ดี โดยที่สุดแม้การอนุโมทนา แล้วพึง
ให้ส่วนบุญแก่สัตว์ทั้งปวง."
เรื่องท้าวสักกเทวราช จบ.

11. เรื่องเศรษฐีผู้ไม่บุตร [250]



ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภเศรษฐีผู้ชื่อว่า
อปุตตกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "หนนฺติ โภคา ทุมฺเมธํ " เป็นต้น.

ประวัติครั้งยังมีชีวิตของอปุตตกเศรษฐี


ดังได้สดับมา พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสดับการทำกาละของเศรษฐี
นั้นแล้ว จึงตรัสถามว่า " ทรัพย์สมบัติที่ไร้บุตร จะถึงแก่ใคร ?" ทรงสดับ
ว่า " ถึงแก่พระราชา " จึงให้นำทรัพย์จากเรือนของเศรษฐีนั้น มาสู่
ราชตระกูล (กินเวลาถึง) 7 วัน แล้วจึงเสด็จเข้าไปสู่สำนักพระศาสดา
เมื่อพระศาสดาตรัสว่า " ขอเชิญมหาบพิตร พระองค์เสด็จมาจากไหน
หนอ ? แต่ยังวัน " จึงกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า คฤหบดีผู้เป็นเศรษฐี
ในกรุงสาวัตถีนี้ ทำกาละเสียแล้ว. ข้าพระองค์นำทรัพย์สมบัติซึ่งไร้บุตร
นั้น ไปภายในราชสำนักแล้วจึงมา. "
เรื่องทั้งปวง พึงทราบตามนัยที่มาในพระสูตรนั่นแหละ.
เมื่อพระราชากราบทูลข้อความอย่างนี้ว่า "ได้ยินว่า เศรษฐีนั้น เมื่อ
เขานำโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ เข้าไปให้ด้วยถาดทอง ก็กล่าวว่า ' พวกมนุษย์
ย่อมกินโภชนะชื่อว่าเห็นปานนี้ (เทียวหรือ?), พวกเจ้าจะทำการเยาะเย้ย
กับเราในเรือนนี้หรือ ?" เมื่อเขาเข้าไปตั้งโภชนะไว้ให้ก็ประหาร (มนุษย์
เหล่านั้น ) ด้วยก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้น ให้หนีไปแล้ว บริโภคข้าว
ปลายเกวียน มีน้ำผักดองเป็นที่ 2 ด้วยกล่าวว่า ' นี้จึงเป็นโภชนะของพวก
มนุษย์,' แม้เมื่อเขาเข้าไปตั้งผ้า ยาน และร่มที่น่าพอใจไว้ให้ ก็ประหาร