เมนู

หิรีมตา จ ทุชฺชีวํ นิจฺจํ สุจิคเวสินา
อลีเนนาปคพฺเภน สุทฺธาชีเวน ปสฺสตา.
"อันบุคคลผู้ไม่มีความละอาย กล้าเพียงดังกา
มีปกติกำจัด (คุณผู้อื่น) มักแล่นไป (เอาหน้า) ผู้
คะนอง ผู้เศร้าหมอง เป็นอยู่ง่าย. ส่วนบุคคลผู้มี
ความละอาย ผู้แสวงหากรรมอันสะอาดเป็นนิตย์ ไม่
หดหู่ ไม่คะนอง มีอาชีวะหมดจดเห็นอยู่ เป็นอยู่
ยาก."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหิริเกน คือผู้ขาดหิริและโอตตัปปะ.
อธิบายว่า อันบุคคลผู้เห็นปานนั้น อาจเรียกหญิงผู้มิใช่มารดานั่นแลว่า
" มารดาของเรา" เรียกชายทั้งหลายผู้มิใช่บิดาเป็นต้นนั่นแล โดยนัย
เป็นต้นว่า "บิดาของเรา" ตั้งอยู่ในอเนสนา 21 อย่าง เป็นอยู่โดยง่าย.
บทว่า กากสูเรน ได้แก่ เช่นกาตัวกล้า. อธิบายว่า เหมือนอย่าง
ว่า กาตัวกล้า ใคร่จะคาบวัตถุทั้งหลายมียาคูเป็นต้น ในเรือนแห่ง
ตระกูลทั้งหลาย จับ ณ ที่ทั้งหลายมีฝาเรือนเป็นต้นแล้ว รู้ว่าเขาแลดูตน
จึงทำเป็นเหมือนไม่แลดู เหมือนส่งใจไปในที่อื่น และทำเป็นเหมือนหลับ
อยู่ กำหนดความเผอเรอของพวกมนุษย์ได้แล้วก็โผลง, เมื่อพวกมนุษย์
ไล่ว่า " สุ สุ " อยู่นั่นแล ก็คาบเอาอาหารเต็มปากแต่ภาชนะแล้วบินหนี
ไปฉันใด; แม้บุคคลผู้ไม่มีความละอายก็ฉันนั้นเหมือนกัน เข้าไปบ้าน
กับภิกษุทั้งหลายแล้ว ย่อมกำหนดที่ทั้งหลาย มีที่ตั้งแห่งยาคูแลภัต
เป็นต้น, ภิกษุทั้งหลายเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้านนั้น รับเอาอาหารสักว่า

ยังอัตภาพให้เป็นไป ไปสู่โรงฉันพิจารณาอยู่ ดื่มยาคูแล้ว ทำกัมมัฏฐาน
ไว้ในใจ สาธยายอยู่ ปัดกวาดโรงฉันอยู่; ส่วนบุคคลนี้ไม่ทำอะไร ๆ
เป็นผู้บ่ายหน้าตรงไปยังบ้าน, เขาแม้ถูกภิกษุทั้งหลายบอกว่า " จงดูบุคคล
นี้ " แล้วจ้องดูอยู่ ทำเป็นเหมือนไม่แลดู เหมือนส่งใจไปในที่อื่น เหมือน
หลับอยู่ ดุจกลัดลูกดุม ทำที่เป็นดุจจัดจีวร พูดว่า " การงานของเรา
ชื่อโน้นมีอยู่ " ลุกจากอาสะเข้าไปบ้าน เข้าไปสู่เรือนหลังโคหลังหนึ่ง
บรรดาเรือนที่กำหนดไว้แล้วแต่เช้า, เมื่อหมู่มนุษย์ในเรือน แม้แง้ม
ประตู1แล้วนั่งกรอด้ายอยู่ริมประตู, เอามือข้างหนึ่งผลักประตูแล้วเข้าไป
ภายใน. ลำดับนั้น มนุษย์เหล่านั้นเห็นบุคคลนั้นแล้ว แม้ไม่ปรารถนา
ก็นิมนต์ให้นั่งบนอาสนะ แล้วถวายของมียาคูเป็นต้นที่มีอยู่, เขาบริโภค
ตามต้องการแล้ว ถือเอาของส่วนที่เหลือด้วยบาตรหลีกไป, บุคคลนี้ชื่อว่า
ผู้กล้าเพียงดังกา, อันบุคคลผู้หาหิริมิได้เห็นปานนี้ เป็นอยู่ง่าย.
บทว่า ธํสินา ความว่า ชื่อว่าผู้มีปกติกำจัด เพราะเมื่อคนทั้งหลาย
กล่าวคำเป็นต้นว่า " พระเถระชื่อโน้น เป็นผู้มีความปรารถนาน้อย,"
กำจัดคุณของคนเหล่าอื่นเสีย ด้วยคำเป็นต้นว่า " ก็แม้พวกเราไม่เป็นผู้มี
ความปรารถนาน้อยดอกหรือ ?" ก็มนุษย์ทั้งหลายฟังคำของคนเห็นปาน
นั้นแล้ว เมื่อสำคัญว่า " แม้ผู้นี้ก็เป็นผู้ประกอบด้วยคุณ มีความเป็นผู้
ปรารถนาน้อยเป็นต้น" ย่อมสำคัญของที่ตนควรให้. แต่ว่าจำเดิมแต่นั้น
ไป เขาเมื่อไม่อาจเพื่อยังจิตของบุรุษผู้รู้ทั้งหลายให้ยินดี ย่อมเสื่อมจาก
ลาภแม้นั้น. บุคคลผู้มีปกติกำจัดอย่างนี้ ย่อมยังลาภทั้งของตนทั้งช่องผู้อื่น
ให้ฉิบหายแท้.
1. โถกํ กวาฏํ ปิธาย ปิดบานประตูหน่อยหนึ่ง.

บทว่า ปกฺขนฺทินา ความว่า ผู้มักประพฤติแล่นไป คือผู้แสดงกิจ
ของคนเหล่าอื่นให้เป็นดุจกิจของตน. เมื่อภิกษุทั้งหลายทำวัตรที่ลานพระ-
เจดีย์เป็นต้นแต่เช้าตรู่ นั่งด้วยกระทำไว้ในใจซึ่งกัมมัฏฐานหน่อยหนึ่ง
แล้วลุกขึ้น เข้าไปบ้านเพื่อบิณฑบาต, บุคคลนั้นล้างหน้า แล้วตกแต่ง
อัตภาพ ด้วยอันห่มผ้ากาสาวะมีสีเหลือง หยอดนัยน์ตาและทาศีรษะ
เป็นต้น ให้ประหารด้วยไม้กวาด 2-3 ทีเป็นดุจว่ากวาดอยู่ เป็นผู้บ่าย
หน้าไปสู่ซุ้มประตู, พวกมนุษย์มาแต่เช้าตรู่ ด้วยคิดว่า "จักไหว้พระเจดีย์
จักกระทำบูชาด้วยระเบียบดอกไม้" เห็นเขาแล้ว พูดกันว่า "วิหารนี้"
อาศัยภิกษุหนุ่มนี้ จึงได้การปฏิบัติบำรุง, ท่านทั้งหลายอย่าละเลยภิกษุ
นี้" ดังนี้แล้ว ย่อมสำคัญของที่ตนพึงให้แก่เขา. อันบุคคลผู้มักแล่นไป
เช่นนี้ เป็นอยู่ง่าย.
บทว่า ปคพฺเภน ความว่า ผู้ประกอบด้วยความคะนองกายเป็นต้น.
สองบทว่า สงฺกิลิฏฺเฐน ชีวิตํ ความว่า ก็อันบุคคลผู้เลี้ยงชีวิตเป็นอยู่
อย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้เศร้าหมองแล้ว เป็นอยู่. การเป็นอยู่นั้น ชื่อว่าเป็น
อยู่ชั่ว คือเป็นอยู่ลามกแท้.
บทว่า หิริมตา จ ความว่า อันบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยหิริและโอต-
ตัปปะ เป็นอยู่ยาก. เพราะเขาไม่กล่าวคำว่า "มารดาของเรา" เป็นต้น
กะหญิงผู้มิใช่มารดาเป็นต้น เกลียดปัจจัยที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบธรรมดุจคูถ
แสวงหา (ปัจจัย) โดยธรรมโดยเสมอ เที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก
สำเร็จชีวิตเป็นอยู่เศร้าหมอง.
บทว่า สุจิคเวสินา ความว่า แสวงหากรรมทั้งหลาย มีกายกรรม

เป็นต้นอันสะอาด. บทว่า อลีเนน ความว่า ไม่หดหู่ด้วยความเป็นไป
แห่งชีวิต.
สองบทว่า สุทฺธาชีเวน ปสฺสตา ความว่า ก็บุคคลเห็นปานนี้ย่อม
เป็นผู้ชื่อว่า มีอาชีวะหมดจด, อันบุคคลผู้มีอาชีวะหมดจดแล้วอย่างนี้นั้น
เห็นอาชีวะหมดจดนั้นแลโดยความเป็นสาระ ย่อมเป็นอยู่ได้ยาก ด้วย
อำนาจแห่งความเป็นอยู่เศร้าหมอง.
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุชื่อจูฬสารี จบ

7. เรื่องอุบาสก 5 คน [188]



ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภอุบาสก 5 คน
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "โย ปาณมติมาเปติ" เป็นต้น.

อุบาสกเถียงกันในเรื่องศีล


ความพิสดารว่า บรรดาอุบาสกเหล่านั้น อุบาสกคนหนึ่งย่อมรักษา
สิกขาบท คือเจตนาเครื่องงดเว้นจากการยังชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไปอย่าง
เดียว. (ส่วน) อุบาสกทั้งหลายนอกนี้ ย่อมรักษาสิกขาบททั้งหลายนอกนี้.
วันหนึ่ง อุบาสกเหล่านั้นเกิดทุ่มเถียงกันว่า " เราย่อมทำกรรมที่ทำได้โดย
ยาก. เราย่อมรักษาสิ่งที่รักษาได้โดยยาก" ไปสู่สำนักของพระศาสดา
ถวายบังคมแล้วกราบทูลความนั้น.

พระศาสดาทรงตัดสิน


พระศาสดา ทรงสดับถ้อยคำของอุบาสกเหล่านั้นแล้ว มิได้ทรง
กระทำศีลแม้ข้อหนึ่งให้ต่ำต้อย ตรัสว่า "มีศีลทั้งหมดเป็นของรักษาไว้
โดยยากทั้งนั้น" ดังนี้แล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
7. โย ปาณมติมาเปติ มุสาวาทญฺจ ภาสติ
โลเก อทินฺนํ อาทิยติ ปรทารญฺจ คจฺฉติ
สุราเมรยปานญฺจ โย นโร อนุยุญฺชติ
อิเธวเมโส โลกสฺมึ มูลํ ขนติ อตฺตโน.
เอวํ โภ ปุริส ชานาหิ ปาปธมฺมา อสญฺญตา
มา ตํ โลโภ อธมฺโม จ จิรํ ทุกฺขาย รนฺธยุํ.