เมนู

(อาลัย) ข้างหลังเสีย, จงเปลื้อง (อาลัย) ในท่าม-
กลางเสีย, จึงเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ มีใจหลุดพ้นใน
ธรรมทั้งปวง จะไม่เข้าถึงชาติและชราอีก."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า มุญฺจ ปุเร ความว่า จงเปลื้อง
อาลัย คือความยินดี หมกมุ่น ปรารถนา ขลุกขลุ่ย ความถือ ลูบคลำ
ความอยาก ในขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอดีตเสีย.
บทว่า ปจฺฉโต ความว่า จงเปลื้องอาลัยเป็นต้น ในขันธ์ทั้งหลาย
ที่เป็นอนาคตเสีย.
บทว่า มชฺเฌ ความว่า จงเปลื้องอาลัยเหล่านั้น ในขันธ์ทั้งหลาย
แม้ที่เป็นปัจจุบันเสีย.
สองบทว่า ภวสฺส ปารคู ความว่า เมื่อปฏิบัติได้อย่างนั้น จักเป็น
ผู้ถึงฝั่ง คือไปแล้วสู่ฝั่งแห่งภพแม้ทั้ง 3 อย่างได้ ด้วยอำนาจแห่งอัน
กำหนดรู้ ละ เจริญ และทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง มีใจพ้นแล้วใน
สังขตธรรมทั้งปวง ต่างด้วยขันธ์ ธาตุ อายตนะ เป็นต้นอยู่ ต่อไปไม่
ต้องเข้าถึงชาติ ชรา และมรณะ.
ในกาลจบเทศนา การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่สัตว์ทั้ง 84,000 แล้ว.

อุคคเสนทูลขอบรรพชาอุปสมบท


ฝ่ายบุตรเศรษฐี กำลังยืนอยู่บนปลายไม้แป้น บรรลุพระอรหัต
พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาแล้ว ลงจากไม้แป้นมาสู่ที่ใกล้พระศาสดา ถวาย
บังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา. ลำดับนั้น

พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาตรัสกะนายอุคคเสนนั้นว่า " ท่าน
จงเป็นภิกษุมาเถิด." อุคคเสนนั้นได้เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบริขาร 8 ประหนึ่ง
พระเถระมีพรรษาตั้ง 60 ในขณะนั้นนั่นเอง.
ต่อมา พวกภิกษุถามท่านว่า " คุณอุคคเสน เมื่อคุณลงจากปลาย
ไม้แป้น (สูง) ตั้ง 60 ศอก ขึ้นชื่อว่าความกลัว ไม่ได้มีหรือ ? " เมื่อ
ท่านตอบว่า " คุณ ความกลัวย่อมไม่มีแก่ผมเลน," จึงกราบทูลแด่พระ-
ศาสดาว่า " พระเจ้าข้า พระอุคคเสนพูดอยู่ว่า ' ผมไม่กลัว ' เธอพูดไม่
จริง ย่อมอวดคุณวิเศษ" พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุ
ผู้มีสังโยชน์อันตัดได้แล้ว เช่นกับอุคคเสนผู้บุตรของเรา หากลัว หา
พรั่นพรึงไม่" ดังนี้แล้วตรัสพระคาถานี้ในพราหมณวรรคว่า :-
" เรา กล่าวผู้ที่ตัดสังโยชน์ทั้งหมดได้ ไม่สะดุ้ง
ผู้ล่วงกิเลสเป็นเครื่องข้อง ไม่ประกอบด้วยโยคะ
กิเลสแล้วว่า เป็นพราหมณ์.

ในกาลจบเทศนา การบรรลุธรรมพิเศษ ได้มีแล้วแก่ชนเป็นอัน
มาก.
รุ่งขึ้นวันหนึ่ง พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า " ผู้มีอายุ
ทั้งหลาย เหตุคือการอาศัยลูกสาวนักฟ้อน เที่ยวไปกับด้วยนักฟ้อนของ
ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัตอย่างนี้ เป็นอย่างไรหนอแล ?
เหตุแห่งอุปนิสัยพระอรหัตเป็นอย่างไร ?"

พระศาสดาตรัสบอกอุปนิสัยของพระอุคคเสน



พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอ
นั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า " ด้วยเรื่อง
ชื่อนี้ " ดังนี้แล้ว ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เหตุแม้ทั้งสองนั่น อัน
อุคคเสนนี้ผู้เดียวทำไว้แล้ว " เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงทรง
ชักอดีตนิทานมา (ตรัส ) ว่า :-
" ดังได้สดับมา ในอดีตกาล เมื่อสุพรรณเจดีย์สำหรับพระกัสสป-
ทศพล อันเขากระทำอยู่ พวกกุลบุตรชาวพระนครพาราณสี บรรทุกของ
เคี้ยวของบริโภคเป็นอันมากในยานทั้งหลาย กำลังไปสู่เจดีย์สถาน ด้วย
ตั้งใจว่า " พวกเราจักทำหัตถกรรม" พวกพระเถระองค์หนึ่ง กำลังเข้าไป
เพื่อบิณฑบาตในระหว่างทางแล้ว . ลำดับนั้นนางกุลธิดาคนหนึ่ง แลเห็น
พระเถระแล้ว จึงกล่าวกะสามีว่า " นาย พระผู้เป็นเจ้าของเราเข้ามาอยู่
เพื่อบิณฑบาต, อนึ่ง ของเคี้ยวของบริโภคของเราในยาน มีเป็นอันมาก,
นายจงนำบาตรของท่านมา, เราทั้งสองจักถวายภิกษา." สามีน้ำบาตรมา
แล้ว. ภรรยายังบาตรนั้นให้เต็ม ด้วยของควรเคี้ยวของควรบริโภคแล้ว
ให้สามีวางลงในมือของพระเถระ แม้ทั้งสองคนทำความปรารถนาว่า "ท่าน
เจ้าข้า ดิฉันทั้งสองคนพึงมีส่วนแห่งธรรมอันท่านเห็นแล้วนั่นเทียว."
พระเถระแม้นั้น เป็นพระขีณาสพ, เพราะฉะนั้น เมื่อท่านเล็งดู ทราบ
ภาวะ คืออันจะสำเร็จความปรารถนาของเขาทั้งสองนั้นแล้ว ได้ทำการยิ้ม.
หญิงนั้นเห็นอาการนั้นเข้า จึงพูดกะสามีว่า " นาย พระคุณเจ้าของเรา
ย่อมทำอาการยิ้ม, ท่านจักเป็นเด็กนักฟ้อน." ผ่ายสามีของนางตอบว่า
" นางผู้เจริญ ก็จักเป็นอย่างนั้น" ดังนี้แล้ว หลีกไป. นี้เป็นบุรพกรรม
ของเขาทั้งสองนั้น.