เมนู

5. เรื่องพระนางเขมา [244]



ข้อความเบื้องต้น



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระอัครมเหสี
ของพระเจ้าพิมพิสาร พระนามว่าเขมา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " เย
ราครตฺตา"
เป็นต้น .

หนามบ่งหนาม


ได้สดับมา พระนางเขมานั้นตั้งความปรารถนาไว้แทบบาทมูลของ
พระปทุมุตตรพุทธเจ้า ได้เป็นผู้มีพระรูปงดงามน่าเลื่อมใสอย่างเหลือเกิน.
ก็พระนางได้ทรงสดับว่า " ทราบว่า พระศาสดาตรัสติโทษของรูป" จึง
ไม่ปรารถนาจะเสด็จไปยังสำนักของพระศาสดา. พระราชาทรงทราบความที่
พระอัครมเหสีนั้นมัวเมาอยู่ในรูป จึงตรัสให้พวกนักกวีแต่งเพลงขับเกี่ยว
ไปในทางพรรณนาพระเวฬุวัน แล้วก็รับสั่งให้พระราชทานแก่พวกนัก
ฟ้อนเป็นต้น. เมื่อนักฟ้อนเหล่านั้นขับเพลงเหล่านั้นอยู่ พระนางทรง
สดับแล้ว พระเวฬุวันได้เป็นประหนึ่งไม่เคยทอดพระเนตรและทรงสดับ
แล้ว. พระนางตรสถามว่า " พวกท่านขับหมายถึงอุทยานแห่งไหน ?"
เมื่อพวกนักขับทูลว่า " หมายอุทยานเวฬุวันของพระองค์ พระเทเทวี" ก็ได้
ทรงปรารถนาจะเสด็จไปพระอุทยาน. พระศาสดาทรงทราบการเสด็จมา
ของพระนาง เมื่อประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัทแล จึงทรง
นิรมิตหญิงรูปงาม ยืนถือพัดก้านตาลพัดอยู่ที่ข้างพระองค์
ฝ่ายพระนางเขมาเทวี เสด็จเข้าไปอยู่แล ทอดพระเนตรเห็นหญิง
นั้น จึงทรงดำริว่า " ชนทั้งหลาย ย่อมพูดกันว่า ' พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ตรัสโทษของรูป,' ก็หญิงนี้ ยืนพัดอยู่ในสำนักของพระองค์, เราไม่เข้า
ถึงแม้ส่วนแห่งเสี้ยวของหญิงนี้, รูปหญิงเช่นนี้ เราไม่เคยเห็น, ชนทั้งหลาย
เห็นจะกล่าวตู่พระศาสดา ด้วยคำไม่จริง" ดังนี้แล้ว ก็มิใส่ใจถึงเสียงพระ-
ดำรัสของพระตถาคต ได้ประทับยืนทอดพระเนตรดูหญิงนั้นนั่นแล.

ในร่างกายนี้ไม่มีสาระ


พระศาสดาทรงทราบเนื้อความที่พระนางมีมานะจัดเกิดขึ้นในรูปนั้น
เมื่อจะทรงแสดงรูปนั้นด้วยอำนาจวัยมีปฐมวัยเป็นต้น จึงทรงแสดงทำให้
เหลือเพียงกระดูกในที่สุด โดยนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในหนหลังนั้นแล.
พระนางเขมาพอทอดพระเนตรเห็นรูปนั้น จึงทรงดำริว่า " รูปนั้น
แม้เห็นปานนี้ ก็ถึงความสิ้นความเสื่อมไปโดยครู่เดียวเท่านั้น, สาระใน
รูปนี้ ไม่มีหนอ ?"
พระศาสดาทรงตรวจดูวาระจิตของพระนางเขมานั้นแล้ว จึงตรัสว่า
" เขมา เธอคิดว่า ' สาระมีอยู่ในรูปนี้หรือ ?' เธอจงดูความที่รูปนั้นหา
สาระมิได้ ในบัดนี้" แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า :-
" เขมา เธอจงดูร่างกายอันอาดูร ไม่สะอาดเน่า
เปื่อย ไหลออกทั้งข้างบน ไหลออกทั้งข้างล่าง อันคน
พาลทั้งหลาย ปรารถนายิ่งนัก."

ในกาลจบพระคาถา พระนางดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะพระนางว่า " เขมา สัตว์เหล่านี้ เยิ้ม
อยู่ด้วยราคะ ร้อนอยู่ด้วยโทสะ งงงวยอยู่ด้วยโมหะ จึงไม่อาจเพื่อก้าว
ล่วงกระแสตัณหาของตนไปได้ ต้องข้องอยู่ในกระแสตัณหานั้นนั่นเอง "
ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-