เมนู

4. เรื่องเรือนจำ [243]



ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภเรือนจำ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " น ตํ ทฬฺหํ " เป็นต้น.

พวกภิกษุเห็นโจรถูกจองจำนึกแปลกใจ


ดังได้สดับมา ในกาลครั้งหนึ่ง พวกราชบุรุษนำพวกโจร ผู้ตัดช่อง
ผู้ปล้นในหนทางเปลี่ยว และผู้ฆ่ามนุษย์เป็นอันมาก ทูลเสนอแด่พระเจ้า
โกศลแล้ว . พระราชารับสั่งให้จองจำโจรเหล่านั้นไว้ ด้วยเครื่องจองจำ
คือขื่อ เครื่องจองจำคือเชือก และเครื่องจองจำคือตรวนทั้งหลาย. พวก
ภิกษุชาวชนบท แม้มีประมาณ 30 รูปแล ใคร่จะเฝ้าพระศาสดา มา
เฝ้าถวายบังคมแล้ว ในวันรุ่งขึ้นเที่ยวไปในกรุงสาวัตถี เพื่อบิณฑบาต
ไปถึงเรือนจำเห็นโจรเหล่านั้น กลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระ-
ตถาคตเจ้าในเวลาเย็น กราบทูลถามว่า " พระเจ้าข้า วันนี้ พวกข้า
พระองค์กำลังเที่ยวไปบิณฑบาต เห็นโจรเป็นอันมากในเรือนจำ ถูก
จองจำด้วยเครื่องจองจำคือขื่อเป็นต้น เสวยทุกข์มาก พวกเขาย่อมไม่
อาจเพื่อจะตัดเครื่องจองจำเหล่านั้นหนีไปได้; ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขึ้น
ชื่อว่าเครื่องจองจำชนิดอื่น ที่มั่นคงกว่าเครื่องจองจำเหล่านั้น มีอยู่หรือ

เครื่องจองจำคือกิเลสตัดได้ยากยิ่ง


พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เครื่องจองจำเหล่านั้นจะชื่อว่า
เครื่องจองจำอะไร; ส่วนเครื่องจองจำคือกิเลส กล่าวคือตัณหา ใน

สวิญญาณกทรัพย์และอวิญญาณกทรัพย์ทั้งหลาย มีทรัพย์คือ ข้าวเปลือก
บุตรและภรรยาเป็นต้น เป็นเครื่องจองจำที่มั่นคงกว่าเครื่องจองจำคือขื่อ
เป็นต้นเหล่านั้น ด้วยอันคูณด้วยร้อย คูณด้วยพัน คูณด้วยแสน, แต่
โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ตัดเครื่องจองจำนั่นแม้ชนิดใหญ่ที่ตัดได้ยาก
ด้วยประการดังนี้แล้ว เข้าสู่ป่าหิมพานต์บวช." ดังนี้แล้ว ทรงนำอดีต
นิทานมา (ตรัส) ว่า
" ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในกรุง
พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดแล้วในตระกูลคฤหบดีตกยากตระกูลหนึ่ง.
เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นเจริญวัย บิดาได้ทำกาละแล้ว. พระโพธิสัตว์นั้นทำ
การรับจ้างเลี้ยงมารดา. ต่อมา มารดากระทำนางกุลธิดาคนหนึ่งไว้ในเรือน
เพื่อพระโพธิสัตว์นั้น ผู้ไม่ปรารถนาเลย ในกาลต่อมาก็ได้กระทำกาละ
แล้ว. ฝ่ายภรรยาของพระโพธิสัตว์นั้นตั้งครรภ์แล้ว. พระโพธิสัตว์นั้น
ไม่ทราบว่าครรภ์ตั้งขึ้นเลย จึงกล่าวว่า " นางผู้เจริญ หล่อนจงทำการ
รับจ้างเลี้ยงชีพเถิด, ฉันจักบวช."
นางกล่าวว่า " นาย ครรภ์ตั้งขึ้นแล้วแก่ดิฉันมิใช่หรือ ? เมื่อดิฉัน
คลอดแล้ว ท่านจักเห็นทารกแล้ว จึงบวช." พระโพธิสัตว์นั้น รับว่า
" ดีละ " ในกาลแห่งนางคลอดแล้ว จึงอำลาว่า " นางผู้เจริญ หล่อนคลอด
โดยสวัสดีแล้ว, บัดนี้ ฉันจักบวชละ. " ทีนั้นนางกล่าวกะพระโพธิสัตว์
นั้นว่า " ท่านจงรอ เวลาที่ลูกน้อยของท่านหย่านมก่อน " แล้วก็ตั้งครรภ์
อีก.
พระโพธิสัตว์นั้นดำริว่า " เราไม่สามารถจะให้นางคนนี้ยินยอมแล้ว

ไปได้. เราจักไม่บอกแก่นางละ จักหนีไปบวช." ท่านไม่บอกแก่นางเลย
ลุกขึ้นแล้วในส่วนราตรี หนีไปแล้ว.
ครั้งนั้น คนรักษาพระนครได้จับท่านไว้แล้ว. ท่านกล่าวว่า "นาย
ข้าพเจ้าชื่อว่าเป็นผู้เลี้ยงมารดา, ขอท่านทั้งหลายจงปล่อยข้าพเจ้าเสียเถิด"
ให้เขาปล่อยตนแล้ว พักอยู่ในที่แห่งหนึ่ง แล้วเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ บวช
เป็นฤาษี ยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิดแล้ว เล่นฌานอยู่. ท่านอยู่ในที่
นั้นนั่นเอง เปล่งอุทานขึ้นว่า " เครื่องผูกคือบุตรและภรรยา เครื่องผูก
คือกิเลส อันบุคคลตัดได้โดยยาก ชื่อแม้เห็นปานนั้น เราตัดได้แล้ว."

พระศาสดาทรงแสดงเครื่องจองจำ 2 อย่าง


พระศาสดา ครั้นทรงนำอดีตนิทานนี้มาแล้ว เมื่อจะทรงประกาศ
อุทานที่พระโพธิสัตว์นั้นเปล่งแล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
4. น ตํ ทฬฺหํ พนฺธนมาหุ ธีรา
ยทายสํ ทารุชํ ปพฺพชญฺจ
สารตฺตรตฺตา มณิกุณฺฑเลสุ
ปุตฺเตสุ ทาเรสุ จ ยา อเปกฺขา.
เอตํ ทฬฺหํ พนฺธนมาหุ ธีรา
โอหารินํ สิถิลํ ทุปฺปมุญฺจํ
เอตํปิ เฉตฺวาน ปริพฺพชนฺติ
อนเปกฺขิโน กามสุขํ ปหาย.
" เครื่องจองจำใด เกิดแต่เหล็ก เกิดแต่ไม้ และ
เกิดแต่หญ้าปล้อง ผู้มีปัญญาทั้งหลาย หากล่าวเครื่อง