เมนู

วิปัสสนาธุระ " จึงเริ่มตั้งคันถธุระ เรียนพระไตรปิฎก. บริวารเป็นอัน
มากได้เกิดขึ้น เพราะอาศัยปริยัติของเธอ, ลาภก็ได้เกิดขึ้น เพราะอาศัย
บริวาร. เธอเมาแล้วด้วยความเมาในความเป็นผู้สดับมาก อันความทะยาน
อยากในลาภครอบงำแล้ว เพราะเป็นผู้สำคัญตัวว่าฉลาดยิ่ง ย่อมกล่าวแม้
สิ่งที่เป็นกัปปิยะ อันคนเหล่าอื่นกล่าวแล้วว่า " เป็นอกัปปิยะ," กล่าว
แม้สิ่งที่เป็นอกัปปิยะว่า " เป็นกัปปิยะ," กล่าวแม้สิ่งที่มีโทษว่า " ไม่มี
โทษ," กล่าวแม้สิ่งไม่มีโทษว่า " มีโทษ." เธอแม้อันภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก
ทั้งหลายกล่าวว่า " คุณกปิละ คุณอย่าได้กล่าวอย่างนี้ " แล้ว แสดง
ธรรมและวินัยกล่าวสอนอยู่ ก็กล่าวว่า " พวกท่านจะรู้อะไร ? พวกท่าน
เช่นกับกำมือเปล่า" เป็นต้นแล้ว ก็เที่ยวขู่ตวาดภิกษุทั้งหลายอยู่.

น้องชายไม่เชื่อพี่


ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายบอกเนื้อความนั้นแม้แก่พระโสธนเถระผู้เป็น
พี่ชายของเธอแล้ว. แม้พระโสธนะเถระเข้าไปหาเธอแล้ว ตักเตือนว่า
" คุณกปิละ ก็การปฏิบัติชอบของภิกษุทั้งหลายผู้เช่นเธอชื่อว่าเป็นอายุ
พระศาสนา; เพราะฉะนั้น เธออย่าได้ละการปฏิบัติชอบแล้ว กล่าว
คัดค้านสิ่งที่เป็นกัปปิยะเป็นต้นอย่างนั้นเลย." เธอมิได้เอื้อเฟื้อถ้อยคำแม้
ของท่าน. แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเถระก็ตักเตือนเธอ 2 - 3 ครั้ง ทราบ
เธอผู้ไม่รับคำตักเตือนว่า " ภิกษุนี้ไม่ทำตามคำของเรา" จึงกล่าวว่า
" คุณ ถ้าดังนั้น เธอจักปรากฏด้วยกรรมของตน ดังนี้แล้ว หลีกไป.

น้องชายเสียคนเพราะถูกทอดทิ้ง


จำเดิมแต่นั้น ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก แม้เหล่าอื่น ทอดทิ้ง

เธอแล้ว. เธอเป็นผู้มีความประพฤติชั่ว อันพวกผู้มีความประพฤติชั่ว
แวดล้อมอยู่ วันหนึ่ง คิดว่า " เราจักสวดปาติโมกข์ " จึงถือพัดไปนั่ง
บนธรรมาสน์ในโรงอุโบสถแล้ว ถามว่า " ผู้มีอายุ ปาติโมกข์ย่อมเป็นไป
เพื่อภิกษุทั้งหลายผู้ประชุมกันแล้วในที่นี้หรือ ?" เห็นภิกษุทั้งหลายนิ่งเสีย
ด้วยคิดว่า " ประโยชน์อะไร ด้วยคำโต้ตอบที่เราให้แก่ภิกษุ ?" จึง
กล่าวว่า " ผู้มีอายุ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ไม่มี, ประโยชน์อะไรด้วย
ปาติโมกข์ ที่พวกท่านจะฟังหรือไม่ฟัง" ดังนี้แล้ว ก็ลุกไปจากอาสนะ.
เธอยังศาสนาคือปริยัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปให้
เสื่อมลงแล้วด้วยอาการอย่างนี้. แม้พระโสธนเถระก็ปรินิพพานในวันนั้น
เอง.
ในกาลสิ้นอายุ ภิกษุกปิละเกิดในอเวจีมหานรก. มารดาและน้อง-
สาวของเธอแม้นั้น ถึงทิฏฐานุคติของเธอนั่นแล ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลาย
ผู้มีศีลเป็นที่รักแล้ว ก็บังเกิดในอเวจีมหานรกนั้นเหมือนกัน.

โจรเกิดในเทวโลกด้วยอำนาจของศีล


ก็ในกาลนั้น บุรุษ 500 คนทำโจรกรรมมีการปล้นชาวบ้านเป็นต้น
เป็นอยู่ด้วยกิริยาของโจร ถูกพวกมนุษย์ในชนบทตามจับแล้ว หนีเข้าป่า
ไม่เห็นที่พึ่งอะไรในป่านั้น เห็นภิกษุผู้อยู่ในป่าเป็นวัตรรูปใดรูปหนึ่ง
ไหว้แล้ว กล่าวว่า " ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของพวกข้าพเจ้า
เถิด."
พระเถระกล่าวว่า " ชื่อว่าที่พึ่งเช่นกับศีล ย่อมไม่มีแก่ท่านทั้งหลาย,
พวกท่านแม้ทั้งหมดจงสมาทานศีล 5 เถิด."
โจรเหล่านั้นรับว่า " ดีละ" ดังนี้แล้ว สมาทานศีลทั้งหลาย.