4. อสชฺฌายมลา มนฺตา อนุฏฺฐานมลา ฆรา
มลํ วณฺณสฺส โกสชฺชํ ปมาโท รกฺขโต มลํ.
"มนต์ทั้งหลาย มีอันไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน, เรือน
มีความไม่หมั่นเป็นมลทิน, ความเกียจคร้าน เป็น
มลทินของผิวพรรณ, ความประมาท เป็นมลทินของ
ผู้รักษา."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสชฺฌายมลา เป็นต้น ความว่า
เพราะปริยัติหรือศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อบุคคลไม่ท่อง ไม่ประกอบ
เนือง ๆ ย่อมเสื่อมสูญ หรือไม่ปรากฏติดต่อกัน; ฉะนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจึงตรัสว่า "อสชฺฌายมลา มนฺตา."
อนึ่ง เพราะชื่อว่าเรือนของบุคคลผู้อยู่ครองเรือน ลุกขึ้นเสร็จสรรพ
แล้วไม่ทำกิจ มีการซ่อมแซมเรือนที่ชำรุดเป็นต้น ย่อมพินาศ ฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "อนุฏฺฐานมลา ฆรา."
เพราะกายของคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ผู้ไม่ทำการชำระสรีระ หรือ
การชำระบริขาร ด้วยอำนาจความเกียจคร้าน ย่อมมีผิวพรรณมัวหมอง;
ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "มลํ วณฺณสฺส โกสชฺชํ."
อนึ่ง เพราะเมื่อบุคคลรักษาโคอยู่ หลับหรือเล่นเพลินด้วยอำนาจ
ความประมาท, โคเหล่านั้นย่อมถึงความพินาศ ด้วยเหตุมีวิ่งไปสู่ที่มิใช่ท่า
เป็นต้นบ้าง ด้วยอันตรายมีพาลมฤค1 และโจรเป็นต้นบ้าง ด้วยอำนาจการ
1. พาลมิค-เนื้อร้าย
ก้าวลงสู่ที่ทั้งหลาย มีนาข้าวสาลีเป็นต้นของชนพวกอื่นแล้วเคี้ยวกินบ้าง,
แม้ตนเอง ย่อมถึงอาชญาบ้าง การบริภาษบ้าง.
ก็อีกอย่างหนึ่ง กิเลสทั้งหลายล่วงล้ำเข้าไปด้วยอำนาจความประมาท
ย่อมยังบรรพชิตผู้ไม่รักษาทวาร 6 ให้เคลื่อนจากศาสนา; ฉะนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ปมาโท รกฺขโต มลํ." อธิบายว่า ก็ความ
ประมาทนั้น ชื่อว่าเป็นมลทิน เพราะความประมาทเป็นที่ตั้งของมลทิน
ด้วยการนำความพินาศมา.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระโลฬุทายีเถระ จบ.
5. เรื่องกุลบุตรคนใดคนหนึ่ง [186]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภกุลบุตรคน
ใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "มลิตฺถิยา ทุจฺจริตํ" เป็นต้น.
สามีละอายเพราะภริยาประพฤตินอกใจ
ดังได้สดับมา มารดาและบิดานำกุลสตรีผู้มีชาติเสมอกันมาเพื่อ
กุลบุตรนั้น. นางได้เป็นหญิงมักประพฤตินอกใจ1 ( สามี) จำเดิมแต่วันที่นำ
มาแล้ว. กุลบุตรนั้นละอาย เพราะการประพฤตินอกใจของนาง ไม่อาจ
เข้าถึงความเป็นผู้เผชิญหน้าของใครได้ เลิกกุศลกรรมทั้งหลาย มีการ
บำรุงพระพุทธเจ้าเป็นต้น โดยกาลล่วงไป 2-3วัน เข้าไปเฝ้าพระศาสดา
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง เมื่อพระศาสดาตรัสว่า " อุบาสก
เพราะเหตุไร เราจึงไม่ (ใคร่) เห็นท่าน ?" จึงกราบทูลความนั้นแล้ว.
สตรีเปรียบเหมือนของ 5 อย่าง
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะกุลบุตรนั้นว่า " อุบาสก แม้ในกาล
ก่อน เราก็ได้กล่าวแล้วว่า ' ขึ้นชื่อว่าสตรีทั้งหลาย เป็นเช่นกับแม่น้ำ
เป็นต้น. บัณฑิตไม่ควรทำความโกรธในสตรีเหล่านั้น,' แต่ท่านจำไม่
ได้ เพราะความเป็นผู้อันภพปกปิดไว้" อันกุลบุตรนั้นทูลอาราธนาแล้ว
ตรัสชาดก2 ให้พิสดารว่า:-
1. อติจารินี ผู้มักประพฤติล่วง. 2. ขุ. ชุ. 27/21 อรรถกถา. 3/98.