เมนู

พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอ
ทั้งหลายนั่งประชุมกันด้วยกถาอะไรหนอ ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า
" ด้วยกถาชื่อนี้," จึงตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เครื่องบูชาและลักการะนี้
มิได้บังเกิดขึ้นแก่เราด้วยพุทธานุภาพ, มิได้เกิดขึ้นด้วยอานุภาพนาคและ
เทวดาและพรหม, แต่ว่าเกิดด้วยอานุภาพแห่งการบริจาคมีประมาณน้อย
ในอดีต" อันภิกษุทั้งหลายทูลอ้อนวอนแล้ว ใคร่จะประกาศเนื้อความนั้น
จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสว่า :-

เรื่องสุสิมมาณพ


ในอดีตกาล ในเมืองตักกสิลา ได้มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อสังขะ.
เขามีบุตร (คนหนึ่ง) เป็นมาณพชื่อสุสิมะ มีอายุย่างเข้า 16 ปี. ในวัน
หนึ่ง สุสิมมาณพนั้นเข้าไปหาบิดาแล้ว กล่าวว่า " พ่อ ผมปรารถนาจะ
เข้าไปสู่เมืองพาราณสีท่องมนต์." ลำดับนั้น บิดากล่าวกะเขาว่า " พ่อ ถ้า
กระนั้น พราหมณ์ชื่อโน้นเป็นสหายของพ่อ เจ้าจงไปสู่สำนักของสหาย
นั้น แล้วเรียนเถิด." เขารับคำว่า " ดีละ " แล้วถึงเมืองพาราณสีโดย
ลำดับ เข้าไปหาพราหมณ์นั้นแล้ว บอกความที่ตนอันบิดาส่งมาแล้ว.
ลำดับนั้น พราหมณ์นั้นรับเขาไว้ ด้วยคิดว่า " บุตรสหายของเรา "
แล้วเริ่มบอกมนต์กะเขา ผู้มีความกระวนกระวายอันระงับแล้วโดยวันเจริญ1
สุสิมมาณพนั้น เรียนเร็วด้วย เรียนได้มากด้วย ทรงจำมนต์ที่เรียนแล้ว ๆ
ไม่ให้เสื่อมไป ราวกะว่าน้ำมันสีหะอันเขาเทไว้ในภาชนะทองคำ ต่อกาล
ไม่นานนัก ได้เรียนมนต์ทั้งหมดอันตนพึงเรียนจากปากของอาจารย์ ทำ
การสาธยายอยู่ ย่อมเห็นเบื้องต้นและท่ามกลางแห่งศิลปที่ตนเรียนแล้วเท่า
1. คืนวันดี เป็นวันมงคล.

นั้น, (แต่) ไม่เห็นที่สุด. เขาเข้าไปหาอาจารย์แล้ว กล่าวว่า "ผมย่อม
เห็นเบื้องต้นและท่ามกลางแห่งศิลปนี้เท่านั้น, ย่อมไม่เห็นที่สุด," เมื่อ
อาจารย์กล่าวว่า "พ่อ แม้ฉันก็ไม่เห็น," จึงถามว่า "ข้าแต่อาจารย์ เมื่อ
เป็นเช่นนั้น ใครจะรู้ที่สุด." เมื่ออาจารย์กล่าวว่า "พ่อ ฤษีทั้งหลาย
เหล่านั้นย่อมอยู่ในป่าอิสิปตนะ, ฤษีเหล่านั้นพึงรู้, เจ้าเข้าไปสู่สำนักของ
ท่านแล้วจงถามเถิด," จึงเข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ถามว่า
"ได้ยินว่า ท่านทั้งหลายย่อมรู้ที่สุดหรือ ?"
ปัจเจก. เออ เราทั้งหลายย่อมรู้
สุสิมะ. ถ้ากระนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงบอกแก่ข้าพเจ้า.
ปัจเจก. เราทั้งหลายย่อมไม่บอกแก่คนไม่ใช่บรรพชิต, ถ้าท่านมี
ประสงค์ด้วยที่สุด, จงบวชเถิด.
สุสิมมาณพนั้นรับว่า "ดีละ" แล้วบวชในสำนักพระปัจเจกพุทธะ
เหล่านั้น. ลำดับนั้น พระปัจเจกพุทธะเหล่านั้นกล่าวแก่ท่านว่า "เธอจง
ศึกษาข้อนี้ก่อน" แล้วบอกอภิสมาจาริกวัตร โดยนัยเป็นต้นว่า "ท่าน
พึงนุ่งอย่างนี้, พึงห่มอย่างนี้." ท่านศึกษาอยู่ในอภิสมาจาริกวัตรนั้น
เพราะความที่ตนมีอุปนิสัยสมบูรณ์ ต่อกาลไม่นานนักก็ตรัสรู้ปัจเจกสัมโพธิ
ปรากฏในเมืองพาราณสีทั้งสิ้น เป็นราวกะว่าพระจันทร์เต็มดวงปรากฏอยู่
ในท้องฟ้า ได้เป็นผู้ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภและเลิศด้วยยศ. ท่านได้
ปรินิพพานต่อกาลไม่นานเลย เพราะความที่แห่งกรรมซึ่งอำนวยผลให้เป็น
ผู้มีอายุน้อยอันตนทำแล้ว. ลำดับนั้น พระปัจเจกพุทธะทั้งหลาย และ
มหาชน (ช่วยกัน) ทำสรีรกิจของท่านแล้ว ถือเอาธาตุประดิษฐานพระ-
สถูปไว้ใกล้ประตูพระนคร.

ฝ่ายสังขพราหมณ์ คิดว่า " บุตรของเราไปนานแล้ว, เราจักรู้ความ
เป็นไปของเขา" ปรารถนาจะเห็นบุตรนั้น จึงออกจากเมืองตักกสิลา ถึง
เมืองพาราณสีโดยลำดับ เห็นหมู่มหาชนประชุมกันแล้ว คิดว่า " ในชน
เหล่านี้ แม้คนหนึ่งจักรู้ความเป็นไปแห่งบุตรของเราเป็นแน่." จึงเข้าไป
หาแล้ว ถามว่า " มาณพชื่อสุสิมะมาในที่นี้, ท่านทั้งหลายทราบข่าวคราว
ของเขาบ้างหรือหนอ ?" มหาชนตอบว่า " เออ พราหมณ์ เรารู้,
สุสิมมาณพนั้นสาธยายไตรเพท ในสำนักของพราหมณ์ชื่อโน้น บวชแล้ว
ทำให้แจ้งซึ่งปัจเจกโพธิปัญญา ปรินิพพานแล้ว, นี้สถูปของท่านอันเรา
ทั้งหลายให้ตั้งเฉพาะแล้ว." สังขพราหมณ์นั้น ประหารพื้นดินด้วยมือ
ร้องให้คร่ำครวญแล้ว ไปยังลานพระเจดีย์ ถอนหญ้าขึ้นแล้ว เอาผ้าห่ม
นำทรายมา เกลี่ยลงที่ลานพระเจดีย์ ประพรมด้วยน้ำในลักจั่น ทำบูชา
ด้วยดอกไม้ป่า ยกธงแผ่นผ้าด้วยผ้าสาฎก ผูกฉัตรของตนในเบื้องบนแห่ง
พระสถูปแล้วก็หลีกไป.

อานิสงส์แห่งการบริจาคสุขพอประมาณ


พระศาสดา ครั้นทรงนำอดีตนิทานนี้มาแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย
ในกาลนั้นเราได้เป็นสังขพราหมณ์, เราได้ถอนหญ้าในลานพระเจดีย์ ของ
พระปัจเจกพุทธะชื่อสุสิมะ, ด้วยผลแห่งกรรมของเรานั้น ชนทั้งหลายจึง
ทำหนทาง 8 โยชน์ให้ปราศจากตอและหนามทำให้สะอาด มีพื้นสม่ำเสมอ,
เราได้เกลี่ยทรายลงในลานพระเจดีย์นั้น, ด้วยผลแห่งกรรมของเรานั้น
ชนทั้งหลายจึงเกลี่ยทรายลงในหนทาง 8 โยชน์แล้ว; เราทำการบูชาด้วย
ดอกไม้ป่าที่พระสถูปนั้น, ด้วยผลแห่งกรรมของเรานั้น ชนทั้งหลายจึง
โปรยดอกไม้สีต่าง ๆ ลงในหนทาง 8 โยชน์, น้ำในคงคาในที่ประมาณ