เมนู

ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งปัญญา


พระศาสดาประทับนั่งในที่สุดประมาณ 120 โยชน์เทียว ทอด
พระเนตรดูภิกษุนั้นแล้วดำริว่า " ภิกษุนั้นเป็นผู้มีปัญญา (กว้างขวาง)
ดุจแผ่นดิน ด้วยประการใดแล; การที่เธอตั้งตนไว้ด้วยประการนั้นนั่นแล
ย่อมสมควร." แล้วทรงเปล่งพระรัศมีไป ประหนึ่งตรัสอยู่กับภิกษุนั้น
ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
5. โยคา เว ชายตี ภูริ อโยคา ภูริสงฺขโย
เอตํ เทฺวธา ปถํ ญตฺวา ภวาย วิภวาย จ
ตถตฺตานํ นิเวเสยฺย ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ.

"ปัญญาย่อมเกิดเพราะการประกอบแล, ความ
สิ้นไปแห่งปัญญาเพราะการไม่ประกอบ, บัณฑิตรู้
ทาง 2 แพร่ง แห่งความเจริญและความเสื่อมนั่น
แล้ว พึงตั้งตนไว้โดยประการที่ปัญญาจะเจริญขึ้น
ได้."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โยคา ความว่า เพราะการกระทำไว้
ในใจโดยอุบายอันแยบคายในอารมณ์ 38.
คำว่า ' ภูริ ' นั่น เป็นชื่อแห่งปัญญาอันกว้างขวาง เสมอด้วย
แผ่นดิน. ความพินาศ ชื่อว่า ความสิ้นไป.
สองบทว่า เอตํ เทวฺธา ปถํ คือ ซึ่งการประกอบและการไม่
ประกอบนั่น.

บาทพระคาถาว่า ภวาย วิภวาย จ คือ แห่งความเจริญและ
ความไม่เจริญ.
บทว่า ตถตฺตานํ ความว่า บัณฑิตพึงตั้งตนไว้ โดยประการที่
ปัญญากล่าวคือภูรินี้จะเจริญขึ้นได้.
ในกาลจบพระคาถา พระโปฐิลเถระตั้งอยู่ในพระอรหัตแล้ว ดังนี้. .
เรื่องพระโปฐิลเถระ จบ.

6. เรื่องพระเถระแก่ [209]



ข้อความเบื้องต้น



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุแก่
หลายรูป ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " วนํ ฉินฺทถ " เป็นต้น.

พวกกุฏุมพีละฆราวาสออกบวช


ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นในเวลาเป็นคฤหัสถ์เป็นกุฎุมพี เป็นผู้
มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก ในกรุงสาวัตถี เป็นสหายกันและกัน ทำบุญร่วมกัน
ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว คิดว่า " พวกเราเป็นคนแก่,
ประโยชน์อะไรด้วยการอยู่ครองเรือนของพวกเรา" ดังนี้แล้ว ทูลขอ
บรรพชากะพระศาสดา บวชแล้ว, แต่เพราะความเป็นคนแก่ ไม่สามารถ
เล่าเรียนธรรมได้ จึงให้คนสร้างบรรณศาลาไว้ในที่สุดวิหาร แล้วอยู่รวม
กัน, แม้เมื่อเที่ยวไปบิณฑบาต โดยมากก็ไปเรือนของบุตรและภรรยา
นั่นแหละแล้วฉัน.

พวกภิกษุแก่ร้องไห้รำพันถึงอุบาสิกา


ในภิกษุเหล่านั้น ภิกษุรูปหนึ่งมีภรรยาเก่าชื่อว่านางมธุรปาณิกา.
นางได้มีอุปการะแก่ภิกษุเหล่านั้นแม้ทุกรูป; เพราะฉะนั้น ภิกษุแม้ทุกรูป
ถืออาหารที่ตนได้แล้ว ไปนั่งฉันที่เรือนของนางนั่นแหละ. ฝ่ายนางก็ถวาย
แกงและกับแก่ภิกษุเหล่านั้น ตามที่ตนจัดไว้.
นางอันอาพาธชนิดใดชนิดหนึ่งถูกต้องแล้ว ได้ทำกาละแล้ว. ลำดับ
นั้น พระเถระแก่เหล่านั้นประชุมกันในบรรณศาลาของพระเถระผู้สหาย