เมนู

ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นได้เป็นมาณพ 500 ในกาลนั้น, มาณพผู้
เกียจคร้านได้เป็นภิกษุนี้, ส่วนอาจารย์ได้เป็นพระตถาคตด้วยประการฉะนี้.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุ
ทั้งหลาย ก็บุคคลใดไม่ทำความขยัน ในกาลที่ควรขยัน เป็นผู้มีความ
ดำริอันจมแล้ว เป็นผู้เกียจคร้าน, บุคคลนั้นย่อมไม่บรรลุคุณวิเศษอันต่าง
โดยคุณมีฌานเป็นต้น" ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
3. อุฏฺฐานกาลมฺหิ อนุฏฺฐหาโน
ยุวา พลี อาลสิยํ อุเปโต
สํสนฺนสงฺกปฺปมโน กุสีโต
ปญฺญาย มคฺคํ อลโส น วินฺทติ.

" ก็บุคคลยังหนุ่มแน่นมีกำลัง (แต่) ไม่ขยันใน
กาลที่ควรขยัน เข้าถึงความเป็นผู้เกียจคร้าน มีใจ
ประกอบด้วยความดำริอันจมแล้ว ขี้เกียจ เกียจคร้าน
ย่อมไม่ประสบทางด้วยปัญญา."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุฏฺฐหาโน ความว่า ไม่ขยันคือ
ไม่พยายาม. สองบทว่า ยุวา พลี ความว่า เป็นผู้ตั้งอยู่ในความเป็นคน
รุ่นหนุ่ม ทั้งถึงพร้อมด้วยกำลัง. สองบทว่า อาลสิยํ อุเปโต ความว่า
ย่อมเป็นผู้เข้าถึงแล้วซึ่งความเป็นผู้เกียจคร้าน คือกินแล้ว ๆ ก็นอน.
บทว่า สํสนฺนสงฺกปฺปมโน ความว่า ผู้มีจิตประกอบด้วยความดำริอันจม

ดิ่งลงแล้ว เพราะมิจฉาวิตกสาม.1 บทว่า กุสีโต ได้แก่ผู้ไม่มีความเพียร.
บทว่า อลโส ความว่า บุคคลนั้น เกียจคร้านมาก เมื่อไม่เห็นอริยมรรค
อันพึงเห็นด้วยปัญญา จึงชื่อว่า ย่อมไม่ประสบ คือไม่ได้.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระปธานกัมมิกติสสเถระ จบ.
1. มิจฉาวิตก 3 คือ 1. กามวิตก ตรึกในกาม 2. พยาบาทวิตก ตรึกในการพยาบาท
3. วิหิงสาวิตก ตรึกในการเบียดเบียนคนอื่น.

4. เรื่องสูกรเปรต [207]



ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภสูกรเปรต
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "วาจานุรกฺขี" เป็นต้น.

พระมหาโมคคัลลานเถระเห็นเปรต


ความพิสดารว่า วันหนึ่งพระมหาโมคคัลลานเถระลงจากภูเขาคิชฌกูฏ
กับพระลักขณเถระ ได้ทำการยิ้มแย้มในประเทศแห่งหนึ่ง อันพระลักขณ-
เถระถามว่า " ท่านผู้มีอายุ อะไรหนอ เป็นเหตุแห่งการทำความยิ้มแย้ม
ให้ปรากฏ ?" กล่าวว่า " ท่านผู้มีอายุ กาลนี้มิใช่กาลแห่งปัญหานี้, ท่าน
ควรถามผมในสำนักของพระศาสดา " ดังนี้แล้ว เที่ยวบิณฑบาตในกรุง
ราชคฤห์กับพระลักขณเถระนั่นเอง กลับจากบิณฑบาตแล้วไปสู่พระเวฬุวัน
ถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง.
ลำดับนั้น พระลักขณเถระถามความนั้นกะท่าน. ท่านกล่าวว่า
" ผู้มีอายุ ผมได้เห็นเปรตตนหนึ่ง, สรีระของมันประมาณ 3 คาวุต,
สรีระนั้นคล้ายสรีระของมนุษย์ ส่วนศีรษะของมันเหมือนศีรษะของสุกร,
หางของมันเกิดที่ปาก, หมู่หนอนไหลออกจากปากนั้น, ผมคิดว่า ' เรา
ไม่เคยเห็นสัตว์มีรูปอย่างนี้ ' ครั้นเห็นเปรตนั้นแล้ว จึงได้ทำการยิ้มแย้ม
ให้ปรากฏ."

พระศาสดาตรัสรับรอง


พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย พวกสาวกของเรามีจักษุอยู่
หนอ " แล้วตรัสว่า " แม้เราก็ได้เห็นสัตว์นั่นที่ควงแห่งต้นโพธิ์เหมือน
กัน. แต่ไม่พูด ด้วยอนุเคราะห์แก่ชนเหล่าอื่นว่า ' ก็ชนเหล่าใดไม่พึง