เมนู

น้อยก็ดี ย่อมไปเทวโลกได้เเท้ " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
4. สจฺจํ ภเณ น กุชฺเฌยฺย ทชฺชา อปฺปสฺมิ ยาจิโต
เอเตหิ ตีหิ ฐาเนหิ คจฺเฉ เทวาน สนฺติเก.
" บุคคลควรกล่าวคำสัตย์ ไม่ควรโกรธ, ถึงถูก
เขาขอน้อย ก็พึงให้, บุคคลพึงไปในสำนักของเทวดา
ทั้งหลายได้ ด้วยฐานะ 3 นั่น. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า สจฺจํ ภเณ ความว่า พึงแสดง คือ
พึงกล่าวคำสัตย์, อธิบายว่า ควรตั้งมั่นอยู่ในคำสัตย์.
บทว่า น กุชฺเฌยฺย ได้แก่ ไม่ควรโกรธต่อบุคคลอื่น.
บทว่า ยาจิโต ความว่า บรรพชิตผู้มีศีล ชื่อว่าผู้ขอ. ความจริง
บรรพชิตเหล่านั้น ไม่ขอเลยว่า " ขอท่านจงให้ " ย่อมยืนอยู่ที่ประตูเรือน
ก็จริง. ถึงกระนั้น โดยอรรถก็ชื่อว่าย่อมขอทีเดียว บุคคลอันผู้มีศีลขอแล้ว
อย่างนั้น เมื่อไทยธรรมแม้เล็กน้อยมีอยู่ ก็พึงให้เเม้เพียงเล็กน้อย.
สองบทว่า เอเตหิ ตีหิ ความว่า บรรดาเหตุเหล่านั้น ด้วยเหตุแม้
เพียงอย่างเดียว บุคคลพึงไปเทวโลกได้.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องปัญหาของพระโมคคัลลานเถระ จบ.

5. เรื่องปัญหาที่ภิกษุทูลถาม [178]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยเมืองสาเกต ประทับอยู่ที่อัญชนวัน ทรง
ปรารภปัญหาที่ภิกษุทั้งหลายทูลถาม ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อหึสกา
เย "
เป็นต้น.

สองผัวเมียแสดงตนเป็นพุทธบิดาและพุทธมารดา


ดังได้สดับมา ในกาลที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุสงฆ์แวดล้อม เสด็จ
เข้าไปในเมืองสาเกต เพื่อบิณฑบาต พราหมณ์เฒ่าชาวเมืองสาเกตคนหนึ่ง
กำลังเดินออกไปจากพระนคร พบพระทศพลที่ระหว่างประตู จึงหมอบ
ลงแทบพระบาททั้งสองแล้ว จับที่ข้อพระบาทไว้มั่น พลางกล่าวว่า " พ่อ
ธรรมดามารดาและบิดา อันพวกลูกชายพึงประคบประหงม ในเวลาที่
ท่านชราแล้วมิใช่หรือ ? เหตุไรเล่า พ่อจึงไม่แสดงตน (ให้ปรากฏ) แก่
ข้าพระองค์สิ้นกาลประมาณเพียงนี้ ? พระองค์อันข้าพระองค์เห็นก่อน,
ขอพระองค์จงเสด็จมาเยี่ยมมารดาบ้าง " ดังนี้แล้ว ก็ได้พาพระศาสดาไป
สู่เรือนของตน. พระศาสดาเสด็จไปที่เรือนนั้นแล้ว ประทับนั่งเหนือ
อาสนะซึ่งปูลาดไว้กับด้วยภิกษุสงฆ์.
ฝ่ายพราหมณี มาหมอบแทบพระบาททั้งสองของพระศาสดาแล้ว
ทูลว่า " พ่อ พ่อเป็นผู้ไปเสียที่ไหน สิ้นกาลประมาณเพียงนี้ ? ธรรมดา
มารดาและบิดา อันบุตรธิดาควรบำรุง ในเวลาที่ท่านแก่เฒ่ามิใช่หรือ ?
แล้วให้บุตรและธิดาทั้งหลายถวายบังคมด้วยคำว่า " พวกเจ้าจงมา, จง
ถวายบังคมพระพี่ชาย. "