เมนู

ของเราจะพึงแตกออก 7 เสี่ยง " ดังนี้แล้ว จึงหมอบลงแทบเท้าของนาง
อุตตรานั้น แล้วกล่าวว่า " คุณแม่ ขอคุณแม่จงอดโทษให้ดิฉันเถิด. "
นางอุตตรา. ดิฉันเป็นธิดาที่มีบิดา เมื่อบิดาอดโทษให้. ก็จักอด
โทษให้.
นางสิริมา. คุณแม่ ข้อนั้นจงยกไว้เถิด. ดิฉันจักให้ท่านปุณณ-
เศรษฐีผู้บิดาของคุณแม่อดโทษให้ด้วย.
นางอุตตรา. ท่านปุณณะ เป็นบิดาบังเกิดเกล้าของคุณแม่ในวัฏฏะ,
แต่เมื่อบิดาผู้บังเกิดเกล้าในวิวัฏฏะอดโทษให้ ดิฉันจึงจักอดโทษ.
นางสิริมา. ก็ใครเล่า ? เป็นบิดาบังเกิดเกล้าของคุณแม่ในวิวัฎฎะ.
นางอุตตรา. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
นางสิริมา. ดิฉันไม่มีความคุ้นเคยกับพระองค์.
นางอุตตรา. ฉันจักทำเอง. พรุ่งนี้ พระศาสดาจักทรงพาภิกษุสงฆ์
เสด็จมาที่นี้: เธอจงถือสักการะตามแต่จะได้มาที่นี้แหละ แล้วขอให้พระ-
องค์อดโทษเถิด.

นางสิริมาขอให้พระศาสดาทรงอดโทษ


นางสิริมานั้นรับว่า " ดีละ คุณแม่ " ลุกขึ้นแล้วไปสู่เรือนของตน
สั่งหญิงบริวาร 500 ให้ตระเตรียมขาทนียะและสูเปยยะ1ต่าง ๆ อย่าง รุ่ง
ขึ้นก็ถือสักการะนั้นมาเรือนของนางอุตตรา ไม่กล้าจะใส่บาตรภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข จึงได้ยืนอยู่แล้ว. นางอุตตรารับเอาสิ่งของ
ทั้งหมดนั้นมาจัดแล้ว.
1. สูเปยฺย วัตถุเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สูปะ.

ในเวลาเสร็จภัตกิจ นางสิริมาพร้อมด้วยบริวาร หมอบลงแทบเบื้อง
พระบาทของพระศาสดา.
ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสถามนางว่า " เจ้ามีความผิดอะไร ? "
นางสิริมา. พระเจ้าข้า วานนี้หม่อมฉันได้ทำกรรมชื่อนี้, เมื่อเป็น
เช่นนั้น หญิงสหายของหม่อมฉัน ยังห้ามทาสีซึ่งเบียดเบียนหม่อมฉัน ได้
ทำอุปการะแก่หม่อมฉันโดยแท้, หม่อมฉันนั้นรู้สึกถึงคุณของนางนี้ จึงขอ
ให้นางนี้อดโทษ, เมื่อเป็นเช่นนั้น นางกล่าวกะหม่อมฉันว่า 'เมื่อพระองค์
ทรงอดโทษให้ จึงจักอดโทษให้. '
พระศาสดา. อุตตราได้ยินว่า อย่างนั้นหรือ ?
นางอุตตรา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า วานนี้หญิงสหายของหม่อมฉัน
ได้รดเนยใสที่เดือดพล่าน บนศีรษะของหม่อมฉัน.
พระศาสดา. เมื่อเช่นนั้น เธอคิดอย่างไร ?
นางอุตตรา หม่อมฉันคิดอย่างนั้นว่า 'จักรวาลแคบนัก พรหมโลก
ก็ยังต่ำเกินไป, คุณของหญิงสหายข้าพระองค์เท่านั้นใหญ่, เพราะหม่อมฉัน
อาศัยเขา จึงได้ถวายทานและฟังธรรม; ถ้าว่าหม่อมฉันมีความโกรธอยู่
เหมือนางนี้, เนยใสที่เดือดพล่านนี้ จงลวกหม่อมฉันเถิด, ถ้าหาไม่แล้ว,
ขออย่าลวกเลย.' แล้วได้เเผ่เมตตาไปยังนางสิริมานี้ พระเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสว่า " ดีละ ดีละ อุตตรา การชนะความโกรธอย่าง
นั้น สมควร; ก็ธรรมดาคนมักโกรธ พึงชนะด้วยความไม่โกรธ, คนด่า
เขา ตัดพ้อเขา พึงชนะได้ด้วยความไม่ด่า (ตอบ) ไม่ตัดพ้อ (ตอบ), คน
ตระหนี่จัด พึงชนะได้ด้วยการให้ของตน, คนมักพูดเท็จ พึงชนะได้ด้วย
คำจริง " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

3. อกฺโกเธน ชิเน โกธํ อสาธุํ สาธุนา ชิเน
ชิเน กทริยํ ทาเนน สจฺเจนาลิกวาทินํ.
" พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ, พึงชนะ
คนไม่ดี ด้วยความดี พึงชนะคนตระหนี่ ด้วยการ
ให้ พึงชนะคนพูดเหลวไหล ด้วยคำจริง. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกฺโกเธน ความว่า บุคคลผู้มักโกรธ
แล พึงเป็นผู้อันบุคคลพึงชนะด้วยความไม่โกรธ. ผู้ไม่ดี คือผู้ไม่เจริญ
เป็นผู้อันบุคคลพึงชนะด้วยความดี, ผู้ตระหนี่ คือเหนียวแน่นจัด เป็นผู้
อันบุคคลพึงชนะด้วยจิตคิดสละของของตน, คนพูดเหลาะแหละ อันบุคคล
พึงชนะด้วยคำจริง; เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสอย่างนี้ว่า " อกฺโก-
เธน ชิเน โกธํ ฯ เป ฯ สจฺเจนาลิกวาทินํ. "

ในกาลจบเทศนา นางสิริมาพร้อมด้วยญาติทั้ง 500 ตั้งอยู่แล้วใน
โสดาปัตติผล ดังนี้แล.
เรื่องอุตตราอุบาสิกา จบ.