เมนู

7. สีลทสฺสนสมฺปนฺนํ ธมฺมฏฺฐ สจฺจวาทินํ
อตฺตโน กมฺมกุพฺพานํ ตญฺชโน กุรุเต ปิยํ.
" ชน ย่อมทำท่านผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและทัสสนะ
ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ผู้มีปกติกล่าวแต่วาจาสัตย์ ผู้กระทำ
การงานของตนนั้น ให้เป็นที่รัก. "

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีลทสฺสนสมฺปนฺนํ ความว่า ผู้ถึง
พร้อมด้วยจตุปาริสุทธิศีล และความเห็นชอบอันสัมปยุตด้วยมรรคและผล.
บทว่า ธมฺมฏฺฐ ความว่า ผู้ตั้งอยู่ในโลกุตรธรรม 9 ประการ.
อธิบายว่า ผู้มีโลกุตรธรรมอันทำให้แจ้งแล้ว.
บทว่า สจฺจวาทินํ ความว่า ชื่อว่าผู้มีปกติกล่าววาจาสัตย์ด้วย
สัจญาณ เพราะความที่สัจจะ 4 อันท่านทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ 16.
บาทพระคาถาว่า อตฺตโน กมฺมกุพฺพานํ ความว่า สิกขา 3
ชื่อว่าการงานของตน, ผู้บำเพ็ญสิกขา 3 นั้น.
สองบทว่า ตํ ชโน ความว่า โลกิยมหาชน ย่อมทำบุคคลนั้น
ให้เป็นที่รัก คือเป็นผู้ใคร่จะเห็น ใคร่จะไหว้ ใคร่จะบูชาด้วยปัจจัย 4
โดยแท้.
ในกาลจบเทศนา เด็กเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ตั้งอยู่แล้วในโสดา-
ปัตติผล ดังนี้แล.
เรื่องเด็ก 500 คน จบ.

8. เรื่องพระอนาคามิเถระ [172]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระผู้
อนาคามีองค์หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " ฉนฺทชาโต " เป็นต้น.

พระเถระบรรลุอนาคามิผล


ความพิสดารว่า วันหนึ่ง พวกสัทธิวิหาริกถามพระเถระนั้นว่า
" ท่านขอรับ ก็การบรรลุธรรมพิเศษของท่าน มีอยู่หรือ ? "
พระเถระ ละอายอยู่ว่า " แม้คฤหัสถชนก็ยังบรรลุพระอนาคามิผล
ได้, ในเวลาบรรลุพระอรหัตแล้วนั่นแล เราจักบอกกับสัทธิวิหาริกเหล่า
นั้น " ดังนี้แล้ว ไม่กล่าวอะไร ๆ เลย ทำกาละแล้วเกิดในเทวโลกชั้น
สุทธาวาส.
ลำดับนั้น พวกสัทธิวิหาริกของท่าน ร้องไห้คร่ำครวญไปสู่สำนัก
พระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ร้องไห้อยู่ทีเดียว นั่งแล้ว ณ
ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะภิกษุเหล่านั้นว่า " ภิกษุทั้งหลาย พวก
เธอร้องไห้ทำไม ? "
ภิกษุ. อุปัชฌายะของข้าพระองค์ทำกาละแล้ว พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ช่างเถิด ภิกษุทั้งหลาย, เธอทั้งหลายอย่าคิดเลย,
นั่นชื่อว่าเป็นธรรมที่ยั่งยืน.
ภิกษุ. พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็ทราบอยู่,
แต่พวกข้าพระองค์ ได้ถามถึงการบรรลุธรรมพิเศษ กะพระอุปัชฌายะ,