เมนู

พราหมณ์นับถือพระองค์ดุจสหาย


ครั้นในวันหนึ่ง พราหมณ์กราบทูลพระองค์ว่า " พระโคดมผู้เจริญ
ท่านมาแล้ว ตั้งแต่วันที่ข้าพเจ้าแผ้วถางนา, ถ้าข้าวกล้าของข้าพเจ้าจัก
เผล็ดผล, ข้าพเจ้าจักแบ่งปันแก่ท่านบ้าง, ยังไม่ให้ท่าน ข้าพเจ้าเองก็
จักไม่เคี้ยวกิน; ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ท่านเป็นสหายของเรา. "

ข้าวกล้าเสียหาย


ครั้นโดยสมัยอื่นอีก ข้าวกล้าของพราหมณ์นั้น เผล็ดผลแล้ว. เมื่อ
พราหมณ์นั้นทำกิจทั้งปวงเพื่อการเกี่ยว ด้วยตั้งใจว่า ข้าวกล้าของเรา
เผล็ดผลแล้ว, เราจักให้เกี่ยวตั้งแต่พรุ่งนี้ไป " มหาเมฆยังฝนให้ตกตลอด
คืน พาเอาข้าวกล้าไปหมด. นาได้เป็นเช่นกับที่อันเขาถางเอาไว้.

พราหมณ์เสียใจเพราะทำนาไม่ได้ผล


ก็พระศาสดา ได้ทรงทราบแล้วในวันแรกทีเดียวว่า " ข้าวกล้านั้น
จักไม่เผล็ดผล. " พราหมณ์ไปแล้วแต่เช้าตรู่ ด้วยคิดว่า " เราจักตรวจดู
ข้าวกล้า " เห็นแต่นาเปล่า เกิดความโศกเป็นกำลังจึงคิดว่า " พระ-
สมณโคดมมาสู่นาของเรา ตั้งแต่คราวที่แผ้วถางนา, แม้เราก็ได้กล่าว
กะท่านว่า " เมื่อข้าวกล้าเผล็ดผลแล้ว จักแบ่งส่วนให้แก่ท่านบ้าง, ยัง
ไม่ให้ท่านแล้วเราเองก็จักไม่เคี้ยวกิน, ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ท่านเป็นสหาย
ของเรา, ความปรารถนาในใจของเราเเม้นั้น ไม่ถึงที่สุดเสียแล้ว. " พราหมณ์
นั้นทำการอดอาหาร นอนบนเตียงน้อยแล้ว.

พระศาสดาเสด็จไปตรัสถามข่าวพราหมณ์


ลำดับนั้น พระศาสดาได้เสด็จไปสู่ประตูเรือนของพราหมณ์นั้น.

พราหมณ์นั้น ทราบการเสด็จมาของพระศาสดา จึงสั่ง (ชนผู้เป็นบริวาร)
ว่า " พวกเธอจงนำสหายของเรามาแล้ว ให้นั่งที่นี้. " ชนผู้เป็นบริวารได้
ทำอย่างนั้นแล้ว. พระศาสดาประทับนั่งแล้ว ตรัสถามว่า " พราหมณ์
ไปไหน ? " เมื่อเขากราบทูลว่า " นอนในห้อง." ก็รับสั่งหาด้วยพุทธดำรัส
ว่า " พวกเธอ จงเรียกพราหมณ์นั้นมา. " เเล้วตรัสกะพราหมณ์ผู้มานั่ง
แล้ว ณ ส่วนข้างหนึ่งว่า " เป็นอะไร ? พราหมณ์."
พราหมณ์. พระโคดมผู้เจริญ ท่านมาสู่นาของข้าพเจ้าตั้งแต่วันที่
แผ้วถาง. แม้ข้าพเจ้าก็ได้พูดไว้ว่า " เมื่อข้าวกล้าเผล็ดผลแล้ว จักแบ่งส่วน
ถวายท่านบ้าง, ความปรารถนาในใจของข้าพเจ้าไม่สำเร็จเสียแล้ว; เพราะ
เหตุนั้น ความโศกจึงเกิดแล้วแก่ข้าพเจ้า, แม้ภัตข้าพเจ้าก็ไม่หิว. "

ตรัสเหตุแห่งความโศกและอุบายระงับความโศก


ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามพราหมณ์นั้นว่า " พราหมณ์ ก็ท่าน
รู้ไหมว่า ความโศกเกิดแล้วแก่ท่าน เพราะอาศัยอะไร ? " เมื่อพราหมณ์
กราบทูลว่า " พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าไม่ทราบ, ก็ท่านทราบหรือ ? "
จึงตรัสว่า " อย่างนั้น พราหมณ์ ความจริง ความโศกก็ดี ภัยก็ดี เมื่อ
จะเกิด ย่อมอาศัยตัณหาเกิดขึ้น " ดังนี้ แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า :-
6. ตณฺหาย ชายตี โสโก ตณฺหาย ชายตี ภยํ
ตณฺหาย วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ.
" ความโศก ย่อมเกิดเพราะตัณหา, ภัยย่อมเกิด
เพราะตัณหา; ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษ
แล้วจากตัณหา. ภัยจักมีแต่ไหน. "