เมนู

15. สุขวรรควรรณนา


1. เรื่องระงับความทะเลาะแห่งหมู่พระญาติ [157]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในแคว้นของชาวสักกะ ทรงปรารภหมู่
พระญาติ เพื่อระงับความทะเลาะ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สุสุขํ
วต "
เป็นต้น.

ความวิวาทเกิดเพราะแย่งน้ำ


ดังได้ยินมาว่า พวกเจ้าศากยะและพวกเจ้าโกลิยะ ให้กั้นแม่น้ำชื่อ
ว่าโรหิณี ด้วยทำนบอันเดียวกัน ในระหว่างนครกบิลพัสดุ์กับนครโกลิยะ
แล้วให้ทำข้าวกล้า. ถึงต้นเดือนเชฏฐมาส1 เมื่อข้าวกล้าเหี่ยว, พวกกรรมกร
แม้ของชาวนครทั้งสองประชุมกัน. ในชาวนครทั้งสองนั้นชาวนครโกลิยะ
กล่าวว่า " น้ำนี้ เมื่อถูกพวกเรานำไปแต่ข้างทั้งสองจักไม่พอแก่พวกท่าน,
เมื่อถูกพวกท่านนำไปแต่ข้างทั้งสอง. ก็จักไม่พอแก่พวกข้าพเจ้า; แต่ข้าว
กล้าของพวกข้าพเจ้า จักสำเร็จด้วยน้ำคราวเดียวเท่านั้น พวกท่านจงให้
น้ำนี้แก่พวกข้าพเจ้าเถิด. " ฝ่ายพวกชาวศากยะนอกนี้ กล่าวอย่างนี้ว่า
" เมื่อพวกท่านทำฉางให้เต็มตั้งไว้เเล้ว พวกข้าพเจ้าจักไม่อาจถือเอาทอง
มีสีสุก แก้วสีเขียว แก้วสีดำและกหาปณะ แล้วมีกระเช้าและกระสอบ
เป็นต้นในมือเที่ยวไปที่ประตูเรือนของพวกท่าน, ข้าวกล้าแม้ของพวก
1. เดือนมิถุนายน เดือน 7.

ข้าพเจ้า ก็จักสำเร็จด้วยน้ำคราวเดียวเหมือนกัน, พวกท่านจงให้น้ำนี้แก่
พวกข้าพเจ้าเถิด. "
โกลิยะ. พวกข้าพเจ้าจักไม่ให้.
ศากยะ. แม้พวกข้าพเจ้าก็จักไม่ให้.
ชาวเมืองทั้งสอง ยังถ้อยคำให้เจริญขึ้นอย่างนั้นแล้ว ประหารซึ่งกัน
และกันอย่างนี้ คือคนหนึ่งลุกขึ้นแล้วได้ให้ประหารแก่คนหนึ่ง. แม้ชนผู้
ถูกประหารนั้น ก็ได้ให้ประหารแม้แก่ชนอื่น กระทบกระทั่งถึงชาติแห่ง
ราชตระกูลทั้งหลาย ก่อความทะเลาะให้เจริญขึ้นแล้ว. พวกกรรมกรชาว-
โกลิยะกล่าวว่า " พวกเจ้าจงพาเด็กชาวเมืองกบิลพัสดุ์ไปเสียเถิด, ชน
เหล่าใด อยู่ร่วมกับพวกพี่สาวน้องสาวของตน ๆ เหมือนสุนัขบ้านและสุนัข
จิ้งจอกเป็นต้น; ช้าง ม้า โล่และอาวุธทั้งหลายของชนเหล่านั้นจักทำอะไร
แก่พวกข้าพเจ้าได้. "
ฝ่ายพวกกรรมกรชาวศากยะกล่าวว่า " บัดนี้ พวกเจ้าจงพาพวก
เด็กขี้เรื้อนไปเสียเถิด, ชนเหล่าใด ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีคติ อยู่ที่ต้นกระเบา
ดุจสัตว์ดิรัจฉาน; ช้าง ม้า โล่และอาวุธของชนเหล่านั้นจักทำอะไรแก่
พวกข้าพเจ้าได้." ชนเหล่านั้น ไปบอกแก่พวกอำมาตย์ผู้ประกอบใน
กรรมนั้น. พวกอำมาตย์ทูลแก่ราชตระกูลทั้งหลาย.
ลำดับนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายคิดว่า " พวกเราจักแสดงเรี่ยวแรง
และกำลัง ของเหล่าชนผู้อยู่ร่วมกับพวกพี่สาวน้องสาว " แล้วตระเตรียม
การยุทธ์ ออกไปแล้ว. ฝ่ายเจ้าโกลิยะทั้งหลายคิดว่า " พวกเราจักสำแดง
เรี่ยวแรงและกำลัง ของเหล่าชนผู้อยู่ที่ต้นกระเบา " ดังนี้แล้ว ตระเตรียม
การยุทธ์ ออกไปแล้ว.

พระศาสดาเสด็จห้ามพระญาติ


แม้พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ทอดพระเนตร
เห็นหมู่พระญาติแล้ว ทรงดำริว่า " เมื่อเราไม่ไป. พวกญาติเหล่านี้จัก
ฉิบหาย. การที่เราไปก็ควร " ดังนี้แล้ว จึงเสด็จทางอากาศพระองค์เดียว
เท่านั้น ประทับนั่งโดยบัลลังก์ในอากาศ ณ ท่ามกลางแม่น้ำโรหิณี. พระ-
ญาติทั้งหลาย เห็นพระศาสดาแล้วทิ้งอาวุธ ถวายบังคม. ครั้งนั้น พระ-
ศาสดาตรัสกะพระญาติเหล่านั้นว่า " มหาบพิตร นี่ชื่อว่าทะเลาะอะไรกัน ? "
พวกพระญาติ. พวกข้าพระองค์ ไม่ทราบ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. บัดนี้ ใครจักทราบเล่า ?
พระญาติเหล่านั้น ถามตลอดถึงพวกทาสและกรรมกร โดยอุบายนี้
ว่า " อุปราช จักทราบ, เสนาบดี จักทราบ " เป็นต้น แล้วกราบทูลว่า
" ทะเลาะกันเพราะน้ำ พระเจ้าข้า. "
พระศาสดา. น้ำตีราคาเท่าไร ? มหาบพิตร.
พวกพระญาติ. มีราคาน้อย พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. กษัตริย์ทั้งหลาย ราคาเท่าไร.
พวกพระญาติ. ขึ้นชื่อว่า กษัตริย์ทั้งหลาย หาค่ามิได้ พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ก็การที่ท่านทั้งหลาย ยังพวกกษัตริย์ซึ่งหาค่ามิได้ให้
ฉิบหาย เพราะอาศัยน้ำ ซึ่งมีประมาณน้อย ควรแล้วหรือ ?
พระญาติเหล่านั้น ได้นิ่งแล้ว. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสเตือน
พระญาติเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า " มหาบพิตร เพราะเหตุไร ? พวกท่าน
จึงกระทำกรรมเห็นปานนี้, เมื่อเราไม่มีอยู่. ในวันนี้ แม่น้ำคือโลหิตจัก
ไหลนอง, ท่านทั้งหลาย ทำกรรมไม่สมควรแล้ว, ท่านทั้งหลาย เป็นผู้