เมนู

อากาศ ทรงแสดงให้มหาชนเห็นแล้วตรัสว่า " ดูก่อนพราหมณ์ การบูชา
ซึ่งบุคคลควรบูชาชนิดเช่นนี้ ย่อมสมควรกว่าแท้ " ดังนี้แล้ว จึงทรง
ประกาศปูชารหบุคคล 4 จำพวก มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น โดยนัยดังที่ตรัส
ไว้ในมหาปรินิพพานสูตรนั้นเอง แล้วทรงแสดงโดยพิเศษถึงพระเจดีย์ 3
ประเภทคือ สรีรเจดีย์ 1 อุททิสเจดีย์ 1 ปริโภคเจดีย์ 1 (ครั้นแล้ว) ได้
ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า.
9. ปูชารเห ปูชยโต พุทฺเธ ยทิ จ สาวเก
ปปญฺจสมติกฺกนฺเต ติณฺณโสกปริทฺทเว
เต ตาทิเส ปูชยโต นิพฺพุเต อกุโตภเย
น สกฺกา ปุญฺญํ สงฺขาตุํ อิเมตฺตมปิ เกนจิ.
" ใคร ๆ ไม่อาจเพื่อจะนับบุญของบุคคลผู้บูชาอยู่
ซึ่งท่านผู้ควรบูชา คือพระพุทธเจ้า หรือว่าพระสาวก
ทั้งหลายด้วย ผู้ก้าวล่วงปปัญจธรรมเครื่องเนิ่นช้าได้
แล้ว ผู้มีความเศร้าโศก และความคร่ำครวญ อันข้าม
พ้นแล้ว (หรือว่า) ของบุคคลผู้บูชาอยู่ ซึ่งท่านผู้ควร
บูชาเช่นนั้นเหล่านั้น ผู้นิพพานแล้ว ไม่มีภัยเเต่ที่
ไหน ๆ ด้วยการนับแม้วิธีไร ๆ ก็ตาม ว่าบุญนี้มี
ประมาณเท่านี้ "
ดังนี้.

แก้อรรถ


บุคคลผู้ควรเพื่อบูชา อธิบายว่า ผู้ควรแล้วเพื่อบูชา ชื่อว่าปูชารห-
บุคคลในพระคาถานั้น. คำว่าของบุคคลผู้บูชาอยู่ซึ่งท่านผู้ควรบูชา ความ

ว่า ผู้บูชาอยู่ด้วยการนอบน้อมมีกราบไหว้เป็นต้นและด้วยปัจจัย 4.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปูชารหบุคคลด้วยคำว่า พุทฺเธ คือ พระพุทธะ
ทั้งหลาย. บทว่า พุทฺเธ ได้แก่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า. ศัพท์นิบาตว่า ยทิ
ได้แก่ ยทิวา อธิบายว่า อถวา คือ ก็หรือว่า. คำว่า ซึ่งพระปัจเจกพุทธะ
ทั้งหลายก็เป็นอันตรัสไว้แล้วในพระคาถานั้น. (หรือว่า) พระสาวกทั้งหลาย
ด้วย. บทว่า ผู้ก้าวล่วงปปัญจธรรมได้เเล้ว หมายความว่าปปัญจธรรมคือ
ตัณหา ทิฏฐิ มานะ ท่านก้าวล่วงได้เเล้ว. คำว่าผู้มีความเศร้าโศกความ
คร่ำครวญอันข้ามพ้นแล้ว ได้แก่ผู้มีความโศกและความร่ำไรอันล่วงพ้น
แล้ว. อธิบายว่า ข้ามล่วงได้ทั้งสองอย่าง. ความเป็นผู้ควรแก่บูชา พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสด้วยบทวิเสสนะ (คุณบท) เหล่านั้น. คำว่าเหล่านั้น ได้แก่
พระพุทธะเป็นต้น. คำว่าผู้เช่นนั้น ได้แก่ผู้ประกอบด้วยคุณเช่นนั้น ด้วย
อำนาจแห่งคุณดังกล่าวแล้ว. คำว่านิพพานแล้ว ได้แก่นิพพานด้วยการดับ
กิเลสมีราคะเป็นต้น. ภัยแต่ที่ไหน ๆ คือจากภพหรือจากอารมณ์ย่อมไม่มี
แก่ท่านผู้ควรบูชาเหล่านั้น ฉะนั้นท่านเหล่านั้นจึงชื่อว่าไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ.
ซึ่งท่านผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหน ๆ เหล่านั้น. คำว่าอันใคร ๆ ไม่อาจเพื่อจะนับ
บุญได้ ความว่า ไม่อาจเพื่อคำนวณบุญได้. หากมีคำถามสอดมาว่า นับ
อย่างไร ? พึงแก้ว่า อันใคร ๆ ไม่อาจเพื่อนับบุญว่านี้มีประมาณเท่านี้ อธิบาย
ว่า อันใคร ๆ ไม่อาจเพื่อจะนับว่า บุญนี้มีประมาณเท่านี้ บุญนี้มีประมาณ
เท่านี้. อปิศัพท์พึงเชื่อมในบทว่า เกนจิ. อธิบายว่า อันบุคคลไร ๆ หรือ
ว่าด้วยการนับวิธีไร ๆ ในสองคำนั้น คำว่าอันบุคคล ได้แก่อันบุคคลนั้น
มีพระพรหมเป็นต้น. คำว่าด้วยการนับ ได้แก่ด้วยการนับ 3 อย่างคือ ด้วย

การคะเน ด้วยการชั่งและด้วยการตวง. การคะเนโดยนัยว่าของนี้มีประมาณ
เท่านี้ ชื่อว่าคะเน การชั่งด้วยเครื่องชั่ง ชื่อว่าชั่ง การทำให้เต็ม (ตวง)
ด้วยสามารถแห่งกึ่งฟายมือ ฟายมือ แล่ง และทะนานเป็นต้น ชื่อว่าตวง.
อันบุคคลไร ๆ ไม่อาจเพื่อนับบุญของผู้บูชาอยู่ ซึ่งท่านผู้ควรบูชามีพระ-
พุทธเจ้าเป็นต้น ด้วยการนับทั้ง 3 วิธีเหล่านี้ ด้วยสามารถแห่งวิบากคือผล
เพราะเว้นจากที่สุดฉะนี้.
ผลทานของผู้บูชาในสถานะทั้งสอง เป็นอย่างไรกัน ? บุญของผู้
บูชาพระพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้ยังทรงพระชนม์อยู่ ใคร ๆ ไม่อาจนับได้ก็พอ
ทำเนา. บุญของผู้บูชาพระพุทธเจ้าเป็นต้นผู้เช่นนั้นแม้นิพพานแล้วด้วย
ขันธปรินิพพาน อันมีกิเลสปรินิพพานเป็นนิมิต ใคร ๆ ก็ไม่อาจนับได้อีก
เล่า เพราะฉะนั้น ควรจะแตกต่างกันบ้าง. เพราะเหตุ (ที่จะมีข้อสงสัย)
นั้นแหละ ท้าวสักกะจึงกล่าวไว้ในวิมานวัตถุว่า
" เมื่อพระสัมพุทธเจ้าเป็นต้น ยังทรงพระชนม์
อยู่ก็ดี นิพพานแล้วก็ดี เมื่อจิตเสมอกัน ผลก็ย่อม
เท่ากัน ในเพราะเหตุคือความเลื่อมใสแห่งใจ สัตว์
ทั้งหลาย ย่อมไปสู่สุคติ "
ดังนี้.
ในอวสานแห่งพระธรรมเทศนา พราหมณ์นั้นได้เป็นพระโสดาบัน
แล้วแล.
พระเจดีย์ทองสูงตั้งโยชน์ ได้ตั้ง (เด่น) อยู่ในอากาศนั้นแลตลอด
7 วัน. ก็สมาคมได้มีแล้วด้วยชนเป็นอันมาก พวกเขาบูชาพระเจดีย์ด้วย

ประการต่าง ๆ ตลอด 7วัน. ต่อนั้นมาความแตกต่างแห่งลัทธิของผู้มีลัทธิ
ต่างกันได้เกิดมีแล้ว.
พระเจดีย์นั้นได้ไปสู่ที่เดิมแห่งตนด้วยพุทธานุภาพ, ในขณะนั้น
พระเจดีย์ศิลาใหญ่ ได้มีขึ้นแล้วในที่นั้นนั่นแล.
ประชาสัตว์ 84,000 ได้บรรลุธรรมาภิสมัย (คือตรัสรู้ธรรม) แล้ว
ในสมาคมนั้น.
เรื่องพระเจดีย์ทองของพระกัสสปทสพล จบ.
พุทธวรรควรรณนา จบ.
วรรคที่ 14 จบ.

คาถาธรรมบท


สุขวรรค1ที่ 15


ว่าด้วยความสุขที่แท้จริง.


[25] 1. ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน พวกเราไม่มี
เวร เป็นอยู่สบายดีหนอ ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน
พวกเราไม่มีเวรอยู่ ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความเดือด-
ร้อนกัน พวกเราไม่มีความเดือดร้อน เป็นอยู่สบายดี
หนอ ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความเดือดร้อนกัน พวก
เราไม่มีความเดือดร้อนอยู่ ในมนุษย์ทั้งหลายผู้ขวน
ขวายกัน พวกเราไม่มีความขวนขวาย เป็นอยู่สบาย
ดีหนอ ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความขวนขวายน้อย
พวกเราไม่มีความขวนขวายอยู่.

2. เราผู้ซึ่งไม่มีกิเลสชาตเครื่องกังวล ย่อมเป็น
อยู่สบายดีหนอ เราจักเป็นผู้มีปีติเป็นภักษา เหมือน
เหล่าเทวดาชั้นอาภัสระ.

3. ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ผู้
สงบระงับละความชนะและความแพ้ได้แล้ว ย่อมอยู่
เป็นสุข.

4. ไฟเสมอด้วยราคะย่อมไม่มี โทษเสมอด้วย
โทสะย่อมไม่มี ทุกข์ทั้งหลายเสมอด้วยขันธ์ย่อมไม่
มี สุขอื่นจากความสงบย่อมไม่มี.

5. ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง สังขารทั้งหลาย
1. วรรคนี้มีอรรถกถา 8 เรื่อง.