เมนู

ต้นมะม่วงนั้นสมบูรณ์ด้วยช่อและผล ได้ทรงไว้ซึ่งพวงแห่งมะม่วงสุกในที่
แห่งหนึ่ง ในขณะนั้นนั่นเอง.
พวกภิกษุผู้มาข้างหลัง มาขบฉันผลมะม่วงสุกเหมือนกัน.
พระราชาทรงสดับว่า " ข่าวว่า ต้นมะม่วงเห็นปานนี้เกิดขึ้นแล้ว "
จึงทรงตั้งอารักขาไว้ด้วยพระดำรัสว่า " ใคร ๆ อย่าตัดต้นมะม่วงนั้น."
ก็ต้นมะม่วงนั้น ปรากฏชื่อว่า " คัณฑามพพฤกษ์ " เพราะความที่นาย
คัณฑะปลูกไว้. แม้พวกนักเลงเคี้ยวกินผลมะม่วงสุกแล้วพูดว่า " เจ้าพวก
เดียรถีย์ถ่อยเว้ย พวกเจ้ารู้ว่า 'พระสมณโคดมจักทรงทำปาฏิหาริย์ที่โคน
ต้นคัณฑามพพฤกษ์ จึงสั่งให้ถอนต้นมะม่วงเล็ก ๆ แม้ที่เกิดในวันนั้นใน
ร่วมในที่โยชน์หนึ่ง, ต้นมะม่วงนี้ ชื่อว่าคัณฑามพะ " แล้วเอาเมล็ด
มะม่วงที่เป็นเดนประหารพวกเดียรถีย์เหล่านั้น.

ท้าวสักกะทำลายพิธีของพวกเดียรถีย์


ท้าวสักกะทรงสั่งบังคับวาตวลาหกเทวบุตรว่า " ท่านจงถอนมณฑป
ของพวกเดียรถีย์เสียด้วยลม แล้วให้ลม (หอบไป) ทิ้งเสียบนแผ่นดินที่ทิ้ง
หยากเยื่อ. เทวบุตรนั้นได้ทำเหมือนอย่างนั้นแล้ว. ท้าวสักกะสั่งบังคับ
สุริยเทวบุตรว่า " ท่านจงขยายมณฑลพระอาทิตย์ ยัง (พวกเดียรถีย์) ให้
เร่าร้อน่. " แม้เทวบุตรนั้นก็ได้ทำเหมือนอย่างนั้นแล้ว. ท้าวสักกะทรงสั่ง
บังคับวาตวลาหกเทวบุตรอีกว่า " ท่านจงยังมณฑลแห่งลม (ลมหัวด้วน)
ให้ตั้งขึ้นไปเถิด. " เทวบุตรนั้นทำอยู่เหมือนอย่างนั้น โปรยเกลียวธุลีลง
ที่สรีระของพวกเดียรถีย์ที่มีเหงื่อไหล. พวกเดียรถีย์เหล่านั้นได้เป็นเช่นกับ
จอมปลวกแดง. ท้าวสักกะทรงสั่งบังคับแม้วัสสวลาหกเทวบุตรว่า " ท่าน
จงให้หยาดน้ำเมล็ดใหญ่ ๆ ตก. " เทวบุตรนั้นได้ทำเหมือนอย่างนั้นแล้ว.

ทีนั้น กายของพวกเดียรถีย์เหล่านั้น ได้เป็นเช่นกับแม่โคด่างแล้ว. พวก
เขาแตกหมู่กัน หนีไปในที่เฉพาะหน้า ๆ นั่นเอง. เมื่อพวกเขาหนีไปอยู่
อย่างนั้น ชาวนาคนหนึ่งเป็นอุปัฏฐาก องปูรณกัสสป คิดว่า " บัดนี้
เป็นเวลาทำปาฏิหาริย์แห่งพระผู้เป็นเจ้าของเรา, เราจักดูปาฎิหาริย์นั้น "
แล้วปล่อยโค ถือหม้อยาคูและเชือก ซึ่งตนนำมาแต่เช้าตรู่เดินมาอยู่ เห็น
ปูรณะหนีไปอยู่เช่นนั้น จึงกล่าวว่า " ท่านขอรับ ผมมาด้วยหวังว่า
' จักดูปาฏิหาริย์ของพระผู้เป็นเจ้า, ' พวกท่านจะไปที่ไหน ? "
ปูรณะ. ท่านจะต้องการอะไรด้วยปาฏิหาริย์. ท่านจงให้หม้อและ
เชือกนี้แก่เรา.
เขาถือเอาหม้อและเชือกที่อุปัฏฐากนั้นให้เเล้ว ไปยังฝั่งแม่น้ำ เอา
เชือกผูกหม้อเข้าที่คอของตนแล้ว กระโดดลงไปในห้วงน้ำ ยังฟองน้ำให้
ตั้งขึ้นอยู่ ทำกาละในอเวจีแล้ว.
พระศาสดาทรงนิรมิตจงกรมแก้วในอากาศ. ที่สุดด้านหนึ่งของ
จงกรมนั้น ได้มีที่ขอบปากจักรวาลด้านปาจีนทิศ. ด้านหนึ่งได้มีที่ขอบปาก
จักรวาลด้านปัศจิมทิศ. พระศาสดา เมื่อบริษัทมีประมาณ 36 โยชน์
ประชุมกันแล้ว. ในเวลาบ่ายเสด็จออกจากพระคันธกุฎี ด้วยทรงดำริว่า
" บัดนี้เป็นเวลาทำปาฏิหาริย์ " แล้ว ได้ประทับยืนที่หน้ามุข.

สาวกสาวิการับอาสาทำปาฏิหาริย์แทน


ครั้งนั้น อนาคามีอุบาสิกาคนหนึ่ง ผู้นันทมารดา ชื่อฆรณี เข้า
ไปเฝ้าพระองค์แล้วกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า เมื่อธิดาเช่นหม่อมฉันมีอยู่.
กิจที่พระองค์ต้องลำบากย่อมไม่มี, หม่อมฉันจักทำปาฏิหาริย์. "