เมนู

ให้ห้วงน้ำใหญ่เป็นไปอยู่. มหาชนได้อาจเพื่อยังจิตให้เลื่อมใสหรือไม่
หนอ ? " พระองค์ทรงทราบวาระจิตของอำมาตย์เหล่านั้นแล้ว ทรงทราบ
ว่า ถ้าเราจักทำอนุโมทนาให้สมควรแก่ทานของพระราชาไซร้: ศีรษะ
ของกาฬอำมาตย์จักแตก 7 เสี่ยง, ชุณหอำมาตย์จักตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล "
ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ในกาฬอำมาตย์ จึงตรัสพระคาถา 4 บาทเท่านั้น
แด่พระราชาผู้ทรงถวายทานเห็นปานนี้ ประทับยืนอยู่แล้ว เสด็จลุกจาก
อาสนะไปสู่พระวิหาร.

ตรัสสรรเสริญพระอังคุลิมาล


ภิกษุทั้งหลาย ถามพระอังคุลิมาลเถระว่า " ผู้มีอายุ ท่านเห็นช้าง
ดุร้ายยืนทรงฉัตร ไม่กลัวหรือหนอแล ? "
พระอังคุลิมาล. ผู้มีอายุทั้งหลาย กระผมไม่กลัว.
ภิกษุเหล่านั้น เข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า " ข้าแต่พระ-
องค์ผู้เจริญ พระอังคุลิมาล ย่อมพยากรณ์อรหัตผล. " พระศาสดาตรัสว่า
" ภิกษุทั้งหลาย อังคุลิมาลย่อมไม่กลัว. เพราะว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้เช่นกับ
บุตรของเรา เสมอด้วยโคผู้ตัวประเสริฐ ในระหว่างแห่งโคผู้คือพระ-
ขีณาสพทั้งหลาย ย่อมไม่กลัว ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถาในพราหมณ-
วรรคว่า :-
" เรากล่าวบุคคลผู้องอาจ ผู้ประเสริฐ ผู้แกล้ว-
กล้า ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ผู้ชนะโดยวิเศษ ผู้ไม่
หวั่นไหว ผู้ล้างแล้ว ผู้ตรัสรู้แล้วนั้น ว่าเป็น
พราหมณ์. "

แม้พระราชา ถึงความโทมนัสว่า " พระศาสดาไม่ทรงทำอนุโมทนา
ให้สมควรแก่เราผู้ถวายทานแล้วยืนอยู่ในท่ามกลางบริษัทเห็นปานนี้ ตรัส
เพียงพระคาถาเท่านั้นแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะไป, เราจักเป็นอันไม่ทำ
ทานให้สมควรแก่พระศาสดา ทำทานอันไม่สมควรเสียแล้ว. เราจักเป็น
อันไม่ถวายกัปปิยภัณฑ์ ถวายแต่อกัปปิยภัณฑ์ถ่ายเดียวเสียเเล้ว. เราพึง
เป็นผู้อันพระศาสดาทรงขุ่นเคืองเสียแล้ว, การทำอนุโมทนาอันสมควรแก่
ทาน ซึ่งผู้ใดผู้หนึ่งนั้นแล จึงควร " ดังนี้แล้ว จึงเสด็จไปสู่วิหาร
ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ได้กราบทูลคำนี้ว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ทานที่ควรจะถวาย หม่อมฉันมิได้ถวายแล้วหรือหนอ หรือหม่อมฉัน
มิได้ถวายกัปปิยภัณฑ์อันสมควรแก่ทาน ถวายแต่อกัปปิยภัณฑ์เท่านั้น ? "
พระศาสดา. นี่อย่างไร ? มหาบพิตร.
พระราชา. พระองค์ไม่ทรงทำอนุโมทนา ที่สมควรแก่ทานของ
หม่อนฉัน.
พระศาสดา. มหาบพิตร พระองค์ถวายทานอันสมควรแล้วทีเดียว
ก็ทานนั่นชื่อว่าอสทิสทาน. ใครๆ อาจเพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้าพระองค์
หนึ่ง ครั้งเดียวเท่านั้น. ธรรมดาทานเห็นปานนี้ เป็นของยากที่บุคคลจะ
ถวายอีก.
พระราชา. เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่ทรงทำ
อนุโมทนา ให้สมควรแก่ทานของหม่อมฉัน ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เพราะบริษัทไม่บริสุทธิ์ มหาบพิตร.
พระราชา. โทษอะไรหนอแล ของบริษัท ? พระเจ้าข้า.

พระราชาทรงเนรเทศอำมาตย์ชั่ว


ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสบอกวาระจิต ของอำมาตย์ทั้งสองคนแล้ว
ตรัสบอกความที่อนุโมทนา เป็นอันพระองค์อาศัยความอนุเคราะห์ในกาฬ-
อำมาตย์ จึงไม่ทรงทำแล้วแก่ท้าวเธอ. พระราชาตรัสถามว่า " กาฬะ ได้
ยินว่า ท่านคิดอย่างนี้จริงหรือ ? " เมื่อเขาทูลว่า "จริง" จึงตรัสว่า
" เมื่อเราพร้อมกับบุตรภรรยาของเรา มิได้ถือเอาของมีอยู่ของท่าน ให้
ของมีอยู่ของตน, เบียดเบียนอะไรท่าน ? สิ่งใดที่เราให้แก่ท่านแล้ว สิ่ง
นั้นจงเป็นอันให้เลยทีเดียว; แต่ท่านจงออกไปจากแว่นแคว้นของเรา "
ดังนี้แล้ว จึงทรงเนรเทศกาฬอำมาตย์นั้นออกจากแว่นแคว้น แล้วรับสั่ง
ให้เรียกชุณหอำมาตย์มา ตรัสถามว่า " ได้ยินว่า ท่านคิดอย่างนี้ จริง
หรือ ? เมื่อเขาทูลว่า " จริง " จึงตรัสว่า " ดีละ ลุง, เราเลื่อมใส
(ขอบใจ). ท่านจงรับราชสมบัติของเราแล้ว ให้ทานสิ้น 7 วัน โดย
ทำนองที่เราให้แล้วนั่นแล " ทรงมอบราชสมบัติแก่เขาสิ้น 7 วันแล้ว
จึงกราบทูลพระศาสดาว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทอด
พระเนตรการทำของคนพาล. เขาได้ให้ความลบหลู่ในทาน ที่หม่อมฉัน
ถวายแล้วอย่างนี้. "

คนตระหนี่ไปเทวโลกไม่ได้


พระศาสดาตรัสว่า " อย่างนั้น มหาบพิตร, ขึ้นชื่อว่าพวกคนพาล
ไม่ยินดีทานของผู้อื่น เป็นผู้มีทุคติเป็นที่ไป ณ เบื้องหน้า. ส่วนพวกนัก
ปราชญ์อนุโมทนาทานแม้ของชนเหล่าอื่น จึงเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไป ณ
เบื้องหน้าโดยแท้ " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-