เมนู

ทราบแล้ว, บัดนี้ ดิฉันควรไปได้" ดังนี้แล้ว จึงสั่งคนใช้หญิงชาย
ทั้งหลายว่า "พวกเจ้าจงให้ช่วยกันจัดแจงพาหนะ มียานเป็นต้น." ทีนั้น
เศรษฐียึดกุฎุมพีเหล่านั้นไว้ แล้วกล่าวกะนางว่า " แม่ ฉัน ไม่รู้ พูด
ไปแล้ว . ยกโทษให้ฉันเถิด."
วิสาขา. คุณพ่อ ดิฉันยกโทษที่ควรยกให้แก่คุณพ่อได้โดยแท้,
แต่ดิฉันเป็นธิดาของตระกูลผู้มีความเลื่อมใสอันไม่ง่อนแง่น ในพระพุทธ-
ศาสนา, พวกดิฉันเว้นภิกษุสงฆ์แล้ว เป็นอยู่ไม่ได้, หากดิฉันได้เพื่อ
บำรุงภิกษุสงฆ์ตามความพอใจของดิฉัน, ดิฉันจึงจักอยู่.
เศรษฐี. แม่ เจ้าจงบำรุงพวกสมณะของเจ้า ตามความชอบใจเถิด.

มิคารเศรษฐีฟังธรรมของพระพุทธเจ้า


นางวิสาขา ให้คนไปทูลนิมนต์พระทศพล แล้วเชิญเสด็จให้เข้าไป
สู่นิเวศน์ในวันรุ่งขึ้น. ฝ่ายพวกสมณะเปลือย ได้ยินว่าพระศาสดาเสด็จไป
ยังเรือนของมิคารเศรษฐี จึงไปนั่งล้อมเรือนไว้. นางวิสาขาถวายน้ำ
ทักษิโณทกแล้วส่งข่าวไปว่า "ดิฉันตกแต่งเครื่องสักการะทั้งปวงไว้แล้ว.
เชิญพ่อผัวของดิฉัน มาอังคาสพระทศพลเถิด." ครั้งนั้น พวกอาชีวก
ห้ามมิคารเศรษฐีผู้อยากจะมาว่า "คฤหบดี ท่านอย่าไปสู่สำนักของ
พระสมณโคดมเลย." เศรษฐี ส่งข่าวไปว่า "สะใภ้ของฉัน จงอังคาส
เองเถิด." นางอังคาสภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เมื่อเสร็จ
ภัตกิจแล้ว ได้ส่งข่าวไปอีกว่า "เชิญพ่อผัวของดิฉัน มาฟังธรรมกถา
เถิด." ทีนั้น พวกอาชีวกนั้น กล่าวกะเศรษฐีนั้นผู้คิดว่า "ชื่อว่า การ
ไม่ไปคราวนี้ ไม่สมควรอย่างยิ่ง" แล้วกำลังไป เพราะความที่ตนอยาก

ฟังธรรมอีกว่า " ถ้ากระนั้น ท่านเมื่อฟังธรรมของพระสมณโคดม จง
นั่งฟังภายนอกม่าน" ดังนี้แล้ว จึงล่วงหน้าไปก่อนเศรษฐีนั้นแล้วก็กั้น
ม่านไว้. เศรษฐีไปนั่งภายนอกม่าน.
พระศาสดา ตรัสว่า "ท่านจงนั่งนอกม่านก็ตาม ที่ฝาเรือนคน
อื่นก็ตาม ฟากภูเขาหินโน้นก็ตาม ฟากจักรวาลโน้นก็ตาม, เราชื่อว่า
เป็นพระพุทธเจ้า ย่อมอาจจะให้ท่านได้ยินเสียงของเราได้" ดังนี้แล้ว
ทรงเริ่มอนุปุพพีกถาเพื่อแสดงธรรม ดุจจับต้นหว้าใหญ่สั่น และดุจ
ยังฝนคืออมตธรรมให้ตกอยู่.
ก็เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมอยู่ ชนผู้ยืนอยู่ข้างหน้า
ก็ตาม ข้างหลังก็ตาม อยู่เลยร้อยจักรวาล พันจักรวาลก็ตาม อยู่ในภพ
อกนิษฐ์ก็ตาม ย่อมกล่าวกันว่า "พระศาสดา ย่อมทอดพระเนตรดูเรา
คนเดียว, ทรงแสดงธรรมโปรดเราคนเดียว." แท้จริง พระศาสดาเป็น
ดุจทอดพระเนตรดูชนนั้น ๆ และเป็นดุจตรัสกับคนนั้น ๆ.
นัยว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย อุปมาดังพระจันทร์. ย่อมปรากฏ
เหมือนประทับยืนอยู่ตรงหน้าแห่งสัตว์ทั้งหลาย ผู้ยืนอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง
เหมือนพระจันทร์ลอยอยู่แล้วในกลางหาว ย่อมปรากฏแก่ปวงสัตว์ว่า
"พระจันทร์อยู่บนศีรษะของเรา, พระจันทร์อยู่บนศีรษะของเรา" ฉะนั้น.
ได้ยินว่า นี้เป็นผลแห่งทานที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงตัดพระเศียรที่
ประดับแล้ว ทรงควักพระเนตรที่หยอดดีแล้ว ทรงชำแหล่ะเนื้อหทัยแล้ว
ทรงบริจาคโอรสเช่นกับพระชาลี ธิดาเช่นกับนางกัณหาชินา ปชาบดี
เช่นกับพระนางมัทรี ให้แล้ว เพื่อเป็นทาสของผู้อื่น.

นางวิสาขาได้นามว่ามิคารมารดา


ฝ่ายมิคารเศรษฐี เมื่อพระตถาคตทรงเปลี่ยนแปลงยักย้ายธรรม-
เทศนาอยู่ นั่งอยู่ภายนอกม่านนั่นเอง ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล อัน
ประดับด้วยพันนัย ประกอบด้วยอจลศรัทธา เป็นผู้หมดสงสัยในรัตนะ 3
ยกชายม่านขึ้นแล้ว มาเอาปากอมถันหญิงสะใภ้ ตั้งนางไว้ในตำแหน่ง
มารดาด้วยคำว่า "เจ้าจงเป็นมารดาของฉัน ตั้งแต่วันนี้ไป."
จำเดิมแต่วันนั้น นางวิสาขาได้ชื่อว่ามิคารมารดาแล้ว, ภายหลัง
ได้บุตรชาย จึงได้ตั้งชื่อบุตรนั้นว่า "มิคาระ."
มหาเศรษฐีปล่อยถันของหญิงสะใภ้แล้ว ไปหมอบลงแทบพระบาท
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า นวดฟั้นพระบาทด้วยมือ และจุ๊บด้วยปาก
และประกาศชื่อ 3 ครั้งว่า " ข้าพระองค์ชื่อมิคาระ พระเจ้าข้า " ดังนี้
เป็นต้นแล้ว กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่ทราบ ตลอดกาล
เพียงเท่านี้ 'ทานที่บุคคลให้แล้วในศาสนานี้ มีผลมาก, ข้าพระองค์
ทราบผลแห่งทานในบัดนี้ ก็เพราะอาศัยหญิงสะใภ้ ของข้าพระองค์,
ข้าพระองค์ เป็นผู้พ้นแล้วจากอบายทุกข์ทั้งปวง, หญิงสะใภ้ของ
ข้าพระองค์ เมื่อมาสู่เรือนนี้ ก็มาแล้วเพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อความ
สุขแก่ข้าพระองค์" ดังนี้แล้ว ได้กล่าวคาถานี้ว่า:-
"ข้าพระองค์นั้น ย่อมรู้ทั่วถึงทานที่บุคคลให้
แล้ว ในเขตที่บุคคลให้แล้วมีผลมากในวันนี้,
หญิงสะใภ้คนดีของข้าพระองค์มาสู่เรือน เพื่อ
ประโยชน์แก่ข้าพระองค์หนอ."