เมนู

ทรงเปรียบกายด้วยฟองน้ำและพยับแดด


พระศาสดา ประทับอยู่ที่พระคันธกุฎีนั่นแล ทอดพระเนตรเห็น
พระเถระนั้นแล้ว จึงตรัสว่า "อย่างนั้นนั่นแหละ ภิกษุ อัตภาพนี้มีรูป
อย่างนั้นแล มีอันเกิดขึ้นและแตกไปเป็นสภาพแน่แท้ เหมือนฟองน้ำ
(และ) พยับแดด" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
2. เผณูปมํ กายมิมํ วิทิตฺวา
มรีจิธมฺมํ อภิสมฺพุธาโน
เฉตฺวาน มารสฺส ปปุปฺผกานิ
อทสฺสนํ มจฺจุราชสฺส คจฺเฉ.
" ภิกษุรู้แจ้งกายนี้ว่า มีฟองน้ำเป็นเครื่อง
เปรียบ, รู้ชัดกายนี้ว่า มีพยับแดดเป็นธรรม ตัด
พวงดอกไม้ของมารเสียแล้ว พึงถึงสถานที่มัจจุราช
ไม่เห็น."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เผณูปมํ ความว่า รู้แจ้งกายนี้คือ
อันนับว่าเป็นที่ประชุมแห่งส่วนต่าง ๆ มีผมเป็นต้น ว่า " เห็นสมด้วย
ฟองน้ำ เพราะอรรถว่า ไม่มีกำลัง มีกำลังทราม ไม่ตั้งอยู่นานและเป็น
ไปชั่วกาล."
บทว่า มรีจิรธมฺมํ เป็นต้น ความว่า รู้ชัด คือรู้ ได้แก่ทราบว่า
" แม้กายนี้ ชื่อว่ามีพยับแดดเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นไปชั่วขณะ
และปรากฏนิดหน่อย เหมือนอย่างพยับแดด เป็นดุจมีรูปร่าง (และ)

เป็นดุจเข้าถึงความเป็นของที่ควรถือเอาได้ แก่บุคคลทั้งหลายผู้ยืนอยู่ ณ ที่
ไกล, ( แต่ ) เมื่อบุคคลเข้าไปใกล้ ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า เข้า
ถึงความเป็นของถือเอาไม่ได้ฉะนั้น."
สองบทว่า มารสฺส ปปุปฺผกานิ เป็นต้น ความว่า ภิกษุผู้
ขีณาสพ1 ตัดวัฏฏะอันเป็นไปในไตรภูมิ2 กล่าวคือพวงดอกไม้ของมาร
เสียได้ ด้วยอริยมรรคแล้ว พึงถึงสถานที่ไม่เห็น คือที่อันไม่เห็น คือที่
อันไม่เป็นวิสัยของมัจจุราช ได้แก่พระอมตมหานิพพาน.
ในกาลจบคาถา พระเถระ บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
ทั้งหลายแล้ว ชมเชย สรรเสริญ ถวายบังคมพระสรีระของพระศาสดา
ซึ่งมีพรรณดุจทองคำ มาแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องพระเถระผู้เจริญมรีจิกัมมัฏฐาน จบ.
1. ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว. 2. ไตรภูมิ=ภูมิ 3 คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ.

3. เรื่องพระเจ้าวิฑูฑภะ1 [35]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระนครสาวัตถี ทรงปรารภพระเจ้า
วิฑูฑภะ พร้อมทั้งบริษัท ซึ่งถูกห้วงน้ำท่วมทับให้สวรรคตแล้ว ตรัส
พระธรรมเทศนานี้ว่า "ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ" เป็นต้น.
อนุปุพพีกถาในเรื่องนั้น ดังต่อไปนี้ :-

สามพระกุมารไปศึกษาศิลปะในกรุงตักกสิลา


พระกุมาร 3 พระองค์เหล่านั้น คือ " พระราชโอรสของพระเจ้า
มหาโกศล ในพระนครสาวัตถี พระนามว่าปเสนทิกุมาร, พระกุมาร
ของเจ้าลิจฉวี ในพระนครเวสาลี พระนามว่ามหาลิ, โอรสของเจ้า
มัลละ ในพระนครกุสินารา พระนามว่าพันธุละ" เสด็จไปนครตักกสิลา
เพื่อเรียนศิลปะในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มาพบกันที่ศาลานอก
พระนคร ต่างก็ถามถึงเหตุที่มา ตระกูล และพระนามของกันและกัน
แล้ว เป็นพระสหายกัน ร่วมกันเข้าไปหาอาจารย์ ต่อกาลไม่นานนักก็
เรียนศิลปะสำเร็จ จึงกราบอาอาจารย์พร้อมกัน เสด็จออก (จาก
กรุงตักกสิลา) ได้ไปสู่ที่อยู่ของตน ๆ.

สามพระกุมารได้รับตำแหน่งต่างกัน


บรรดาพระกุมารทั้ง 3 พระองค์นั้น ปเสนทิกุมาร ทรงแสดง
ศิลปะถวายพระชนก อันพระชนกทรงเลื่อมใสแล้ว (จึง) อภิเษกใน
ราชสมบัติ.
1. ม. วิฏฏูภวัตถุ.