เมนู

อุบาสกเห็นพระองค์เสด็จมา จึงคิดว่า " เราควรลุกขึ้นหรือไม่หนอ ?"
ดังนี้แล้ว ก็ไม่ลุกขึ้น ด้วยสำคัญว่า "เรานั่งในสำนักของพระราชา
ผู้เลิศ การที่เรานั้นเห็นเจ้าประเทศราช แล้วลุกขึ้นต้อนรับ ไม่ควร;
ก็แล เมื่อเราไม่ลุกขึ้น พระราชาจักกริ้ว. เมื่อพระราชานั้นแม้กริ้วอยู่
เราก็จักไม่ลุกขึ้นต้อนรับละ; ด้วยว่า เราเห็นพระราชาแล้ว ลุกขึ้น
ก็ชื่อว่าเป็นอันทำความเคารพพระราชา ไม่ทำความเคารพพระศาสดา;
เราจักไม่ลุกขึ้นละ."
ก็ธรรมดาบุรุษผู้เป็นบัณฑิต เห็นคนที่นั่งในสำนักของท่านที่ควร
เคารพกว่า (ตน) ไม่ลุกขึ้น (ต้อนรับ) ย่อมไม่โกรธ. แต่พระราชา
เห็นอุบาสกนั้น ไม่ลุกขึ้น (ต้อนรับ) มีพระมนัสขุ่นเคือง ถวายบังคม
พระศาสดาแล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. พระศาสดาทรงทราบ
ความที่พระราชากริ้ว จึงตรัสกถาพรรณนาคุณของอุบาสกว่า "มหาบพิตร
ฉัตตปาณิอุบาสกนี้เป็นบัณฑิต มีธรรมเห็นแล้ว ทรงพระไตรปิฎก ฉลาด
ในประโยชน์และมิใช่ประโยชน์. เมื่อพระราชาทรงสดับคุณกถาของ
อุบาสกอยู่นั้นแล พระหฤทัยก็อ่อน.

พระราชาตรัสถามเหตุที่ไม่ลุกรับกะฉัตตปาณิ


ภายหลังวันหนึ่ง พระราชาประทับยืนบนปราสาทชั้นบน ทอด
พระเนตรเห็นฉัตตปาณิอุบาสกผู้ทำภัตกิจเสร็จแล้ว กั้นร่ม สวมรองเท้า
เดินไปทางพระลานหลวง จึงรับสั่งให้ราชบุรุษเรียกมา. อุบาสกนั้น
หุบร่มและถอดรองเท้าออกแล้ว เข้าไปเฝ้าพระราชา ถวายบังคมแล้ว
ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง, ลำดับนั้น พระราชา ตรัสกะอุบาสก