เมนู

เศรษฐี. เธอจักทำ ทำไม ?
ภรรยา. ถ้ากระนั้น ดิฉันจะทอดให้พอแก่ท่านผู้เดียวเท่านั้น.
เศรษฐี. เมื่อเธอทอดขนมที่นี้ คนเป็นจำนวนมากก็ย่อมหวัง
(ที่จะกินด้วย) เธอจงเว้นข้าวสาร (ที่ดี) ทั้งสิ้น ถือเอาข้าวสารหัก
และเชิงกรานและกระเบื้อง และถือเอาน้ำนม เนยใส น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย
หน่อยหนึ่งแล้ว ขึ้นไปชั้นบนแห่งปราสาท 7 ชั้น แล้วทอดเถิด, ฉัน
คนเดียวเท่านั้น จักนั่งกิน ณ ที่นั้น.
นางรับคำว่า "ดีละ" แล้วให้ทาสีถือสิ่งของที่ควรถือ เอาขึ้นไป
สู่ปราสาท แล้วไล่ทาสีไป ให้เรียกเศรษฐีมา. เศรษฐีนั้น ปิดประตูใส่
ลิ่มและสลักทุกประตูตั้งแต่ประตูแรกมา แล้วขึ้นไปยังชั้นที่ 7 ปิดประตู
แล้วนั่ง ณ ชั้นแม้นั้น. ฝ่ายภรรยาของเขาก็ติดไฟที่เชิงกราน ยกกระเบื้อง
ขึ้นตั้ง แล้วเริ่มทอดขนม.

พระมหาโมคคัลลานะไปทรมานเศรษฐี


ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสเรียกพระมหาโมคคัลลานเถระมาแต่เช้าตรู่
ตรัสว่า "โมคคัลลานะ ในสักกรนิคม (ซึ่งตั้งอยู่ ) ไม่ไกลกรุง
ราชคฤห์ เศรษฐีผู้มีความตระหนี่นั่นคิดว่า 'เราจักกินขนมเบื้อง' จึง
ให้ภรรยาทอดขนมเบื้องบนปราสาท 7 ชั้น เพราะกลัวคนเหล่าอื่นเห็น,
เธอจงไป ณ ที่นั้นแล้วทรมานเศรษฐี ทำให้สิ้นพยศ1 ให้ผัวเมียแม้
ทั้งสองถือขนม และน้ำนม เนยใส น้ำผึ้งและน้ำอ้อย แล้วนำมายัง
พระเชตวันด้วยกำลังของตน; วันนี้เรากับภิกษุ 500 รูปจักนั่งในวิหาร
นั่นแหละ, จักทำภัตกิจด้วยขนมเท่านั้น."
1. นิพฺพิเสวนํ แปลตามศัพท์ว่า มีความเสพผิดออกแล้ว.

แม้พระเถระ ก็รับพระดำรัสของพระศาสดาว่า "ดีละ พระเจ้า-
ข้า" แล้วไปยังนิคมนั้นด้วยกำลังฤทธิ์ทันทีทีเดียว เป็นผู้นุ่งห่มเรียบร้อย
ได้ยืนอยู่ที่ช่องสีหบัญชร1แห่งปราสาทนั้น เหมือนรูปแก้วมณีลอยเด่นอยู่
กลางอากาศเทียว. เพราะเห็นพระเถระนั้นแล ดวงหทัยของมหาเศรษฐี
ก็สั่นสะท้าน เขาคิดว่า " เรามาที่นี่ เพราะกลัวบุคคลทั้งหลายผู้มีรูป
อย่างนี้นั่นแล, แต่สมณะนี้ยังมายืนอยู่ที่ช่องหน้าต่างได้" เมื่อไม่เห็น
เครื่องมือที่ตนควรจะฉวยเอา เดือดดาลทำเสียงตฏะ ๆ ประดุจก้อนเกลือ
ที่ถูกโรยลงในไฟ จึงกล่าวอย่างนั้นว่า "สมณะ ท่านยืนอยู่ในอากาศ จัก
ได้อะไร ? แม้จงกรมแสดงรอยเท้าในอากาศซึ่งหารอยมิได้อยู่ ก็จักไม่ได้
เหมือนกัน." พระเถระจงกรมกลับไปกลับมาในที่นั้นนั่นแล. เศรษฐี
กล่าวว่า "ท่านจงกรมอยู่จักได้อะไร ? แม้นั่งด้วยบัลลังก์2 ในอากาศ
ก็จักไม่ได้เช่นกัน." พระเถระจึงนั่งคู้บัลลังก์.
ลำดับนั้น เศรษฐีกล่าวกะท่านว่า " ท่านนั่งในอากาศ จักได้
อะไร ? แม้มายืนที่ธรณีหน้าต่างก็จักไม่ได้." พระเถระได้ยืนอยู่ที่ธรณี
(หน้าต่าง ) แล้ว. ลำดับนั้น เขากล่าวกะท่านว่า "ท่านยืนที่ธรณี
(หน้าต่าง ) จักได้อะไร ? แม้บังหวนควันแล้ว ก็จักไม่ได้เหมือนกัน."
แม้พระเถรก็บังหวนควัน. ปราสาททั้งสิ้นได้มีควันเป็นกลุ่มเดียวกัน.
อาการนั้น ได้เป็นเหมือนเวลาเป็นที่แทงตาทั้งสองของเศรษฐีด้วยเข็ม
เศรษฐีไม่กล่าวกะท่านว่า "แม้ท่านให้ไฟโพลงอยู่ก็จักไม่ได้" เพราะ
กลัวไฟไหม้เรือน แล้วคิดว่า "สมณะนี้ จักเป็นผู้เกี่ยวข้องอย่างสนิท
1. ศัพท์ว่า "สีหบัญชร" หมายความว่า หน้าต่างมีลูกกรง แปลตามศัพท์ว่า "หน้าต่างมี
สัณฐานประดุจกรงเล็บแห่งสีหะ. 2. นั่งขัดสมาธิ.

ไม่ได้แล้วจักไม่ไป, เราจักให้ถวายขนมแก่ท่านชิ้นหนึ่ง " แล้วจึงกล่าว
กะภรรยาว่า "นางผู้เจริญ เธอจงทอดขนมชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่ง ให้แก่
สมณะแล้ว จงส่งท่านไปเสียเถอะ." นางหยอดแป้งลงในถาดกระเบื้อง
นิดเดียว. (แต่ ) ขนม ( กลาย) เป็นขนมชิ้นใหญ่ ได้พองขึ้นเต็ม
ทั่วทั้งถาด ตั้งอยู่แล้ว. เศรษฐีเห็นเหตุนั้น กล่าวว่า "(ชะรอย)
หล่อนจักหยิบแป้งมากไป" ดังนี้แล้ว ตักแป้งหน่อยหนึ่งด้วยมุมทัพพี
แล้ว หยอดเองทีเดียว. ขนมเกิดใหญ่กว่าขนมชิ้นก่อน. เศรษฐีทอด
ขนมชิ้นใด ๆ ด้วยอาการอย่างนั้น, ขนมชิ้นนั้น ๆ ก็ยิ่งใหญ่โตทีเดียว.
เขาเบื่อหน่าย จึงกล่าวกะภรรยาว่า "นางผู้เจริญ เธอจงให้ขนมแก่
สมณะนี้ชิ้นหนึ่งเถอะ." เมื่อนางหยิบขนมชิ้นหนึ่งจากกระเช้า, ขนม
ทั้งหมดก็ติดเนื่องเป็นอันเดียวกัน. นางจึงกล่าวกะเศรษฐีว่า "นาย
ขนมทั้งหมดติดเนื่องเป็นอันเดียวกันเสียแล้ว. ดิฉันไม่สามารถทำให้แยก
กันได้." แม้เขากล่าวว่า " ฉันจักทำเอง." แล้วก็ไม่อาจทำได้. ถึงทั้ง
สองคน จับที่ริม (แผ่นขนม) แม้ดึงออกอยู่ ก็ไม่อาจให้แยกออกจาก
กันได้เลย. ครั้นเมื่อเศรษฐีนั้นปล้ำอยู่กับขนม ( เพื่อจะให้แยกกัน ),
เหงื่อก็ไหลออกจากสรีระแล้ว. ความหิวกระหายก็หายไป. ลำดับนั้น
เขากล่าวกะภรรยาว่า "นางผู้เจริญ ฉันไม่มีความต้องการขนมแล้ว,
เธอจงให้แก่สมณะเถิด." นางฉวยกระเช้าแล้วเข้าไปหาพระเถระ. พระ-
เถระแสดงธรรมแก่คนแม้ทั้งสอง, กล่าวคุณพระรัตนตรัย, แสดงผลทาน
ที่บุคคลให้แล้วเป็นอาทิ ให้เป็นดังพระจันทร์ในพื้นท้องฟ้าว่า " ทานที่
บุคคลให้แล้ว ย่อมมีผล. ยัญที่บุคคลบูชา ย่อมมีผล." เศรษฐีฟังธรรม
นั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส กล่าวว่า " ท่านผู้เจริญ ท่านจงมานั่งฉันบน

บัลลังก์นี้เถิด."

พระเถระนำเศรษฐีและภรรยาไปเฝ้าพระศาสดา


พระเถระกล่าวว่า " มหาเศรษฐี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่ง
ในวิหารกับภิกษุ 500 รูป ด้วยตั้งพระหฤทัยว่า "จักเสวยขนม. เมื่อ
ท่านมีความชอบใจ. เศรษฐี ท่านจงให้ภรรยาถือเอาขนมและวัตถุอื่น
มีน้ำนมเป็นต้น, พวกเราจักไปสู่สำนักของพระศาสดา."
เศรษฐี. ก็บัดนี้ พระศาสดาประทับอยู่ ณ ที่ไหนเล่า ? ขอรับ.
พระเถระ. ประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ในที่สุดแห่งที่ 45
โยชน์จากที่นี้ เศรษฐี.
เศรษฐี. ท่านผู้เจริญ พวกเราจักไปสิ้นหนทางไกลมีประมาณเท่านี้
จะไม่ล่วงเลยเวลาอย่างไร ?
พระเถระ. มหาเศรษฐี เมื่อท่านมีความชอบใจ, เราจักนำท่าน
ทั้งสองไปด้วยกำลังของตน. หัวบันไดปราสาทของท่านจักมีในที่ของตน
นี่เอง, แต่เชิงบันไดจักมีที่ซุ้มประตูพระเชตวัน, เราจักนำไปสู่พระเชตวัน
โดยกาลชั่วเวลาลงจากปราสาทชั้นบนไปยังชั้นล่าง.
เขารับว่า "ดีละ ขอรับ." พระเถระทำหัวบันไดไว้ในที่นั้น
นั่นเองแล้ว อธิษฐานว่า "ขอเชิงบันไดจงมีที่ซุ้มประตูพระเชตวัน."
บันไดก็ได้เป็นแล้วอย่างนั้นนั่นแล. พระเถระให้เศรษฐีและภรรยาถึงพระ-
เชตวันเร็วกว่ากาลที่ลงไปจากปราสาทชั้นบนลงไปยังชั้นล่าง.
สามีภรรยาแม้ทั้งสองคนนั้น เข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว กราบทูล
กาล. พระศาสดาเสด็จเข้าไปสู่โรงฉันแล้ว ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่