เมนู

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า "เธอเข้าใจว่า 'บุตรของ
เราเท่านั้นตาย,' ความตายนั่นเป็นธรรมยั่งยืนสำหรับสัตว์ทั้งหลาย, ด้วย
ว่า มัจจุราชฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีอัธยาศัยยังไม่เต็มเปี่ยมนั่นแลลงใน
สมุทรคืออบาย ดุจห้วงน้ำใหญ่ฉะนั้น" เมื่อจะทรงแสดงธรรมจึงตรัส
พระคาถานี้ว่า :-
"มฤตยู ย่อมพาชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์
ของเลี้ยง ผู้มีใจซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ไป ดุจ
ห้วงน้ำใหญ่ พัดชาวบ้านผู้หลับไหลไปฉะนั้น."

ในกาลจบคาถา นางกิสาโคตมีดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล, แม้ชน
เหล่าอื่นเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล

นางบวชในพุทธศาสนา


ฝ่ายนางกิสาโคตมีนั้นทูลขอบรรพชากะพระศาสดาแล้ว. พระศาสดา
ทรงส่งไปยังสำนักของนางภิกษุณีให้บรรพชาแล้ว. นางได้อุปสมบทแล้ว
ปรากฏชื่อว่า " กิสาโคตมีเถรี."
วันหนึ่ง นางถึงวาระในโรงอุโบสถ นั่งตามประทีปเห็นเปลวประทีป
ลุกโพลงขึ้นและหรี่ลง1 ได้ถือเป็นอารมณ์ว่า " สัตว์เหล่านั้นก็อย่างนั้น
เหมือนกัน เกิดขึ้นและดับไปดังเปลวประทีป, ผู้ถึงพระนิพพาน ไม่
ปรากฏอย่างนั้น."
พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั่นแล ทรงแผ่พระรัศมีไป ดัง
นั่งตรัสตรงหน้านาง ตรัสว่า "อย่างนั้นแหละโคตมี สัตว์เหล่านั้น ย่อม
เกิดและดับเหมือนเปลวประทีป, ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ปรากฏ
1. ภิชฺชนฺติโย.

อย่างนั้น; ความเป็นอยู่แม้เพียงขณะเดียว ของผู้เห็นพระนิพพาน ประ-
เสริฐกว่าความเป็นอยู่ 100 ปี ของผู้ไม่เห็นพระนิพพานอย่างนั้น" ดังนี้
แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
13. โย จ วสฺสสตํ ชีเว อปสฺสํ อมตํ ปทํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปสฺสโต อมตํ ปทํ.
"ก็ผู้ใด ไม่เห็นบทอันไม่ตาย พึงเป็นอยู่ 100
ปี, ความเป็นอยู่วันเดียว ของผู้เห็นบทอันไม่ตาย
ประเสริฐกว่า ความเป็นอยู่ของผู้นั้น."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า อมตํ ปทํ ความว่า อมตมหา-
นิพพาน อันเป็นส่วนที่เว้นจากมรณะ.
คำที่เหลือ เช่นเดียวกับคำมีในก่อนนั้นแล.
ในกาลจบเทศนา นางกิสาโคตมีนั่งอยู่ตามเดิมนั่นแล ดำรงอยู่ใน
พระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ดังนี้แล.
เรื่องนางกิสาโคตมี จบ.