เมนู

ล้วงลงในหม้อแล้ว คนข้างโน้นข้างนี้, เปิดปากงูแล้วสอดนิ้วมือเข้าไป.
งูก็ไม่กัดเธอเลย. เธอคิดว่า "งูนี้มิใช่งูมีพิษ, เป็นงูเรือน" จึงทิ้งงูนั้น
แล้วได้ไปยังวิหาร.
ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะเธอว่า "ผู้มีอายุ ท่านทิ้งงูแล้ว
หรือ ?"
ภิกษุกระสัน . ผู้มีอายุ นั้นจะไม่ใช่งู (พิษ), นั่นเป็นงูเรือน.
ภิกษุ. ผู้มีอายุ งู (พิษ) ทีเดียว แผ่แม่เบี้ยใหญ่ ขู่ฟู่ฟู่ พวก
ผมจับได้โดยยาก, เพราะเหตุไร ท่านจึงว่าอย่างนี้ ?
ภิกษุกระสัน. ผู้มีอายุ ผมให้มันกัดอวัยวะบ้าง สอดนิ้วมือเข้าใน
ปากบ้าง ก็ไม่อาจให้มันกัดได้.
พวกภิกษุฟังคำนั้นแล้ว ได้นิ่งเสีย.

พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้วมีชื่อว่าสัปปทาสะ


ภายหลังวันหนึ่ง ช่างกัลบกถือมีดโกน 2-3 เล่ม ไปวิหาร
วางมีดโกนเล่มหนึ่งไว้ที่พื้น เอาเล่มหนึ่งปลงผมของภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุ
กระสันนั้น จับมีดโกนเล่มที่เขาวางไว้ที่พื้นแล้ว คิดว่า "จักตัดคอด้วย
มีดโกนนี้ตาย" จึงยืนพาดคอไว้ที่ต้นไม้ต้นหนึ่งแล้ว จ่อคมมีดโกนที่
ก้านคอ ใคร่ครวญถึงศีลของตน จำเดิมแต่กาลอุปสมบท ได้เห็นศีล
หมดมลทิน ดังดวงจันทร์ปราศจากมลทิน และดังดวงแก้วมณีที่ขัดดี. เมื่อ
เธอตรวจดูศีลนั้นอยู่, ปีติเกิดแผ่ซ่านทั่วทั้งสรีระ. เธอข่มปีติได้แล้ว
เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย จึงถือ

มีดโกนเข้าไปท่ามกลางวิหาร. ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลาย ถามเธอว่า
" ผู้มีอายุ ท่านไปไหน ?"
ภิกษุกระสัน. ผู้มีอายุ ผมไปด้วยคิดว่า 'จักเอามีดโกนนี้ตัด
ก้านคอตาย.'
ภิกษุ. เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ตาย ?
ภิกษุกระสัน. บัดนี้ ผมเป็นผู้ไม่ควรนำศัสตรา1มา, ด้วยว่าผมคิดว่า
'จักตัดก้านคอด้วยมีดโกนนี้, แต่ตัดกิเลสเสียสิ้นด้วยมีดโกนคือญาณ.'
พวกภิกษุกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ภิกษุนี้ พยากรณ์
พระอรหัตด้วยคำที่ไม่เป็นจริง." พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำของภิกษุ
เหล่านั้น จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาพระขีณาสพย่อมไม่ปลงตน
จากชีวิตด้วยมือตนเอง."
ภิกษุ. พระเจ้าข้า พระองค์ตรัสภิกษุนี้ว่า 'เป็นพระขีณาสพ,'
ก็ภิกษุนี้ สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัตอย่างนั้น เหตุไรจึงกระสัน ?
อะไรเป็นเหตุแห่งอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของภิกษุนั้น; เหตุไรงูนั้นจึงไม่
กัดภิกษุนั้น.
พระศาสดา. "ภิกษุทั้งหลาย งูนั้นได้เป็นทาสของภิกษุนี้ในอัตภาพ
ที่ 3 จากอัตภาพนี้ก่อน, มันไม่อาจจะกัดสรีระของผู้เป็นนายของตน
ได้."
พระศาสดาทรงบอกเหตุอย่างหนึ่งแก่ภิกษุเหล่านั้น ด้วยประการ
ฉะนี้ก่อน. ก็ตั้งแต่นั้นมา ภิกษุนั้นได้ชื่อว่าสัปปทาสะ.
1. นี้เป็นสำนวน หมายความว่า ฆ่าตัวตาย.

บุรพกรรมของพระสัปปทาสเถระ


ดังได้สดับมา ในกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้า บุตรแห่งคฤหบดี
ผู้หนึ่ง ฟังธรรมของพระศาสดาแล้ว เกิดความสลดใจจึงบรรพชา ได้
อุปสมบทแล้ว. โดยสมัยอื่นอีก เมื่อความเบื่อหน่ายเกิดขึ้น, จึงบอกแก่
ภิกษุผู้สหายรูปหนึ่ง. สหายนั้น กล่าวโทษในภาวะแห่งคฤหัสถ์แก่เธอ
เนือง ๆ. ภิกษุนอกนี้ฟังคำนั้นแล้ว ก็ยินดียิ่งในพระศาสนา จึงนั่ง
ขัดสมณบริขารทั้งหลายซึ่งมลทินจับในเวลาที่หน่ายในก่อน ให้หมดมลทิน
ใกล้ขอบสระแห่งหนึ่ง. ฝ่ายสหายของภิกษุนั้นนั่งในที่ใกล้นั้นเอง. ลำดับ
นั้น ภิกษุนั้นกล่าวกะสหายนั้นอย่างนี้ว่า "ผู้มีอายุ ผมเมื่อสึก ได้
ปรารถนาจะถวายบริขารเหล่านี้แก่ท่าน." สหายนั้นเกิดโลภขึ้น คิดว่า
"เราจะต้องการอะไรด้วยภิกษุนี้ผู้ยังบวชหรือสึกเสีย, บัดนี้ เราจักยัง
บริขารทั้งหลายให้ฉิบหาย." ตั้งแต่นั้นมา สหายนั้นพูดเป็นต้นว่า "ผู้มี
อายุ บัดนี้จะประโยชน์อะไรด้วยชีวิตของพวกเรา ผู้ซึ่งมีมือถือกระเบื้อง
เที่ยวไปเพื่อก้อนข้าวในสกุลผู้อื่น ? (ทั้ง) ไม่ทำการสนทนาปราศรัย
กับบุตรและภรรยา" ดังนี้แล้ว ก็กล่าวคุณแห่งภาวะของคฤหัสถ์. ภิกษุ
นั้นฟังคำของสหายนั้นแล้ว ก็กระสันขึ้นอีก คิดว่า "สหายนี้เมื่อเรา
กล่าวว่า 'ผมกระสัน' ก็กล่าวโทษในภาวะแห่งคฤหัสถ์ก่อน บัดนี้
กล่าวถึงคุณเนือง ๆ, เหตุอะไรหนอแล ? รู้ว่า "เพราะความโลภใน
สมณบริขารเหล่านี้" จึงกลับจิตของตนเสียด้วยตนเองทีเดียว. เพราะ
ความที่ภิกษุรูปหนึ่งถูกตนทำให้กระสันแล้ว ในกาลแห่งพระกัสสป-
พุทธเจ้า บัดนี้ความเบื่อหน่ายจึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ด้วยประการฉะนี้.
ก็สมณธรรมใดอันภิกษุนั้นบำเพ็ญมา 2 หมื่นปีครั้งนั้น, สมณธรรมนั้น