ธิดาเศรษฐีมีชื่อว่ากุณฑลเกสีเถรี
ในกาลนั้น พระสารีบุตรเถระเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต กระทำภัตกิจ
แล้วออกไปจากเมือง เห็นเด็กเหล่านั้นยืนล้อมกิ่งไม้ จึงถามว่า "นี้
อะไร ?" เด็กทั้งหลายบอกเรื่องนั้นแก่พระเถระแล้ว. พระเถระกล่าวว่า
"เด็กทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงเหยียบกิ่งไม้นี้."
พวกเด็ก. พวกกระผมกลัว ขอรับ.
พระเถระ. เราจักกล่าวปัญหา, พวกเจ้าเหยียบเถิด.
เด็กเหล่านั้น เกิดความอุตสาหะด้วยคำของพระเถระ กระทำอย่างนั้น
โห่ร้องอยู่ โปรยธุลีขึ้นแล้ว.
นางปริพาชิกามาแล้วดุเด็กเหล่านั้น กล่าวว่า "กิจด้วยปัญหาของ
เรากับพวกเจ้าไม่มี; เหตุไร พวกเจ้าจึงพากันเหยียบกิ่งไม้ของเรา ?"
พวกเด็กกล่าวว่า "พวกเรา อันพระผู้เป็นเจ้าใช้ให้เหยียบ."
นางปริพาชิกา. ท่านผู้เจริญ ท่านใช้พวกเด็กเหยียบกิ่งไม้ของ
ดิฉันหรือ ?
พระเถระ. เออ น้องหญิง.
นางปริพาชิกา. ถ้าอย่างนั้น ท่านจงกล่าวปัญหากับดิฉัน.
พระเถระ. ดีละ, เราจักกล่าว.
นางปริพาชิกานั้น ได้ไปสู่สำนักของพระเถระเพื่อถามปัญหาใน
เวลาเงาไม้เจริญ (คือเวลาบ่าย). ทั่วทั้งเมือง ลือกระฉ่อนกันว่า "พวก
เราจักฟังถ้อยคำของ 2 บัณฑิต." พวกชาวเมืองไปกับนางปริพาชิกานั้น
เหมือนกัน ไหว้พระเถระแล้วนั่ง ณ ที่สุดข้างหนึ่ง.
นางปริพาชิกา กล่าวกะพระเถระว่า " ท่านผู้เจริญ ดิฉันจักถาม
ปัญหากะท่าน."
พระเถระ. ถามเถิด น้องหญิง.
นางถามวาทะพันหนึ่งแล้ว. พระเถระแก้ปัญหาที่นางถามแล้ว ๆ.
ลำดับนั้น พระเถระกล่าวกะนางว่า "ปัญหาของท่านมีเท่านี้,
ปัญหาแม้อื่นมีอยู่หรือ ?"
นางปริพาชิกา. มีเท่านี้แหละ ท่านผู้เจริญ.
พระเถระ. ท่านถามปัญหาเป็นอันมาก. แม้เราจักถามสักปัญหาหนึ่ง,
ท่านจักแก้ได้หรือไม่ ?
นางปริพาชิกา. ดิฉันรู้ก็จักแก้, จงถามเถิด ท่านผู้เจริญ.
พระเถระ ถามปัญหาว่า "อะไร ? ชื่อว่าหนึ่ง." นางปริพาชิกา
นั้น ไม่รู้ว่า "ปัญหานี้ ควรแก้อย่างนี้" จึงถามว่า "นั่นชื่อว่าอะไร ?
ท่านผู้เจริญ"
พระเถระ. ชื่อพุทธมนต์ น้องหญิง.
นางปริพาชิกา. ท่านจงให้พุทธมนต์นั้น แก่ดิฉันบ้าง ท่าน
ผู้เจริญ.
พระเถระ. หากว่า ท่านจักเป็นเช่นเรา. เราจักให้.
นางปริพาชิกา. ถ้าเช่นนั้น ขอท่านยังดิฉันให้บรรพชาเถิด.
พระเถระ บอกแก่นางภิกษุณีทั้งหลายให้บรรพชาแล้ว. นางครั้น
ได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว มีชื่อว่ากุณฑลเกสีเถรี บรรลุพระอรหัตพร้อม
ด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายโดย 2-3 วันเท่านั้น.
ชนะกิเลสประเสริฐ
ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในโรงธรรมว่า "การฟังธรรมของ
นางกุณฑลเกสีเถรีไม่มีมาก, กิจแห่งบรรพชิตของนางถึงที่สุดแล้ว, ได้
ยินว่า นางทำมหาสงครามกับโจรคนหนึ่งชนะแล้วมา."
พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวก
เธอนั่งสนทนากันด้วยถ้อยคำอะไรหนอ ?" เมื่อภิกษุทั้งหลายนั้น กราบทูล
ว่า "ถ้อยคำชื่อนี้." จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่านับธรรม
ที่เราแสดงแล้วว่า 'น้อยหรือมาก' บทที่ไม่เป็นประโยชน์แม้ 100 บท
ไม่ประเสริฐ, ส่วนบทแห่งธรรมแม้บทเดียวประเสริฐกว่าเทียว; อนึ่ง
เมื่อบุคคลชนะโจรที่เหลือ หาชื่อว่าชนะไม่, ส่วนบุคคลชนะโจรคือกิเลส
อันเป็นไปภายในนั่นแหละ จึงชื่อว่าชนะ" เมื่อจะทรงสืบอันสนุธิแสดง
ธรรม จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
3. โย จ คาถาสตํ ภาเส อนตฺถปทสญฺหิตา
เอกํ ธมฺมปทํ เสยฺโย ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ.
โย สหสฺสํ สหสฺเสน สงฺคาเม มานุเส ชิเน
เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ ส เว สงฺคามชุตฺตโม.
"ก็ผู้ใด พึงกล่าวคาถาตั้งร้อย ซึ่งไม่ประกอบ
ด้วยบพเป็นประโยชน์; บทแห่งธรรมบทเดียวที่บุคคล
ฟังแล้วสงบระงับได้ ประเสริฐกว่า ( การกล่าว
คาถาตั้ง 100 ของผู้นั้น). ผู้ใด พึงชนะมนุษย์
พันหนึ่งคูณด้วยพันหนึ่ง (คือ 1 ล้าน) ในสงคราม