เมนู

ครั้งนั้นชาวเมืองเหล่านั้นปรึกษากันว่า "บุรุษคนนี้ดี, พวกเรา
จักทำเขาให้เป็นคนฆ่าโจรประจำทีเดียว" ดังนี้แล้ว จึงให้ตำแหน่งนั้น
แก่เขา กระทำความนับถือแล้ว.
นายตัมพทาฐิกะนั้นฆ่าโจร (คราวละ) 500 ๆ ซึ่งเขานำมาแต่
ทิศปัศจิมบ้าง ทิศอุดรบ้าง. เขาฆ่าโจร (สิ้น) 2 พันคน ซึ่งนำมา
แต่ทิศทั้ง 4 ด้วยอุบายอย่างนั้น จำเดิมแต่นั้น เมื่อฆ่ามนุษย์ที่เขานำมา ๆ
คือ "คนหนึ่ง สองคน" ทุกวัน ๆ ได้กระทำโจรฆาตกกรรมสิ้น 55 ปี.
ื้ในเวลาเป็นคนแก่ เขาไม่อาจจะตัดศีรษะด้วยการฟันทีเดียวได้, ต้องฟัน
2-3 ที ทำให้มนุษย์ทั้งหลายลำบาก. พวกชาวเมืองคิดกันว่า "คนฆ่าโจร
แม้อื่นจักเกิดขึ้น, ผู้นี้ทำมนุษย์ทั้งหลายให้ลำบากเหลือเกิน. จะต้องการ
อะไรด้วยผู้นี้" จึงถอนตำแหน่งนั้นของเขาเสีย.
นายตัมพทาฐิกะนั้น กระทำโจรฆาตกรรมอยู่ในกาลก่อน จึงไม่ได้
กิจ อย่างนี้ คือ "การนุ่งผ้าใหม่ การดื่มยาคูเจือน้ำนมที่ปรุงด้วย
เนยใสใหม่ การประดับดอกมะลิ การทาด้วยของหอม." ในวันที่ถูก
ออกจากตำแหน่ง เขากล่าวว่า " ท่านทั้งหลาย จงดื่มยาคูเจือน้ำนมแก่
เรา" แล้ว ให้คนถือผ้าใหม่ ระเบียบดอกมะลิและเครื่องทา ไปยังแม่น้ำ
อาบน้ำแล้ว นุ่งผ้าใหม่ ประดับดอกไม้ มีตัวทาด้วยของหอมมาสู่เรือน
นั่งแล้ว. ทีนั้นชนทั้งหลายวางยาคูเจือน้ำนมที่ปรุงด้วยเนยใสใหม่ข้างหน้า
ของเขาแล้ว นำน้ำสำหรับล้างมือมา.

นายตัมพทาฐิกะกระทำบุญแก่พระสารีบุตร


ในขณะนั้น พระสารีบุตรเถระออกจากสมาบัติ พิจารณาทางเที่ยว

ภิกษาของตนว่า "วันนี้ เราควรไปที่ไหนหนอแล ?" เห็นยาคูเจือน้ำนม
ในเรือนของนายตัมพทาฐิกะนั้น จึงใคร่ครวญว่า "บุรุษนั้น จักทำการ
สงเคราะห์เราหรือหนอแล ?" รู้ว่า "เขาเห็นเราแล้ว จักทำการสงเคราะห์
แก่เรา, ก็แล กุลบุตรนี้ ครั้นกระทำแล้ว จักได้สมบัติใหญ่" จึงห่ม
จีวร ถือบาตร แสดงตนยืนอยู่ที่ประตูเรือนของนายตัมพทาฐิกะนั้น
นั่นแล.
นายตัมพทาฐิกะนั้น พอแลเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่า
"เรากระทำโจรฆาตกกรรมมานาน, เราฆ่ามนุษย์เสียเป็นอันมาก; บัดนี้
ในเรือนของเราตกแต่งยาคูเจือน้ำนมไว้, แลพระเถระก็มายืนอยู่ที่ประตู
เรือนของเรา; เราถวายไทยธรรมแก่พระผู้เป็นเจ้าเสียในเวลานี้ ก็ควร"
ดังนี้แล้ว จึงนำยาคูที่วางไว้ข้างหน้าออกไปแล้ว เข้าไปหาพระเถระ
ไหว้แล้วนิมนต์ให้นั่งภายในเรือน เกลี่ยยาคูเจือน้ำนมลงในบาตร ราดเนย
ใสใหม่แล้ว ได้ยืนพูดพระเถระอยู่. ทีนั้น อัธยาศัยเพื่อดื่มยาคูเจือน้ำนม
ได้มีกำลัง เพราะเขาไม่เคยได้แล้วสิ้นเวลานาน. พระเถระรู้อัธยาศัยของ
นายตัมพทาฐิกะนั้น จึงพูดกะเขาว่า " อุบาสก ท่านจงดื่มยาคูของตน
เถิด." เขาให้พูดในมือแก่ผู้อื่นแล้วดื่มยาคูเอง. พระเถระพูดกะบุรุษผู้
พัดว่า "ท่านจงไป จงพัดอุบาสกเถิด." เขาอันบุรุษนั้นพัดอยู่ ดื่มยาคู
เต็มท้องแล้วมายืนพัดพระเถระ ได้รับบาตรของพระเถระ ผู้กระทำภัตกิจ
เสร็จแล้ว. พระเถระเริ่มอนุโมทนาแก่เขาแล้ว เขาไม่อาจกระทำจิต
ของตนให้ไปตามธรรมเทศนาของพระเถระได้. พระเถระสังเกตได้จึงถาม
ว่า "อุบาสก เหตุไร ท่านจึงไม่อาจทำจิตให้ไปตามธรรมเทศนาได้ ?"
ตัมพทาฐิกะ. "ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทำกรรมหยาบช้ามาสิ้นกาล

นาน. มนุษย์เป็นอันมากถูกข้าพเจ้าฆ่าตาย, ข้าพเจ้ามัวระลึกถึงกรรม
ของตนนั้นอยู่ จึงไม่อาจทำจิตให้ไปตามเทศนา ของพระผู้เป็นเจ้าได้."
พระเถระคิดว่า "เราจักลวงบุรุษนั้น" จึงพูดว่า "ก็ท่านได้
กระทำตามชอบใจตน, หรือถูกคนอื่นให้กระทำเล่า ?"
ตัมพทาฐิกะ. ท่านผู้เจริญ พระราชาให้ข้าพเจ้าทำ."
พระเถระ. " อุบาสก เมื่อเป็นเช่นนั้น อกุศลจะมีแก่ท่านอย่างไร
หนอ ?"

นายตัมพทาฐิกะตายไปเกิดในดุสิตบุรี


อุบาสกเป็นคนธาตุทึบ ถูกพระเถระกล่าวอย่างนั้น มีความสำคัญว่า
"อกุศลไม่มีแก่เรา" จึงกล่าวว่า " ท่านผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ขอท่าน
จงกล่าวธรรมเถิด." อุบาสกนั้น เมื่อพระเถระทำอนุโมทนาอยู่ล มีจิต
มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ฟังธรรมอยู่ ยังขันติเป็นไปโดยอนุโลม ( แก่อริยสัจ )
ภายในแห่งโสดาปัตติมรรค ให้บังเกิดแล้ว . แม้พระเถระ กระทำ
อนุโมทนาแล้วก็หลีกไป.
นางยักษิณีตนหนึ่งมาแล้วด้วยเพศแห่งแม่โคนม ขวิดที่อกอุบาสก
ผู้ตามส่งพระเถระหน่อยหนึ่งแล้วกลับอยู่ให้ตายแล้ว. อุบาสกนั้นกระทำ
กาละแล้วก็บังเกิดในดุสิตบุรี.

กัลยาณมิตรเป็นเหตุให้เกิดในดุสิต


ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า "บุรุษฆ่าโจร กระทำ
กรรมหยาบช้าสิ้น 55 ปี พ้นจากกรรมนั้นในวันนี้แล ถวายภิกษาแก่