เมนู

ดังนี้แล้ว ก็ออกไปนำฟืนและน้ำเป็นต้นมาทางประตูเล็ก ๆ, ทำกิจ
ทุกอย่าง.
ฝ่ายพระราชานอกนี้รักษาประตูใหญ่ 4 ประตู ล้อมพระนครไว้
สิ้น 7 ปี ยิ่งด้วย 7 เดือน 7 วัน. ในกาลต่อมา พระชนนีของพระราชา
นั้นตรัสถามว่า บุตรของเราทำอะไร ?" ทรงสดับเรื่องนั้นว่า "ทรง
ทำกรรมชื่อนี้ พระเจ้าข้า" ตรัสว่า "บุตรของเราโง่, พวกเธอจงไป
จงทูลแก่บุตรของเรานั้นว่า "จงปิดประตูเล็ก ๆ ล้อมพระนคร."
ท้าวเธอทรงสดับคำสอนของพระชนนีแล้ว ก็ได้ทรงทำอย่างนั้น.
ฝ่ายชาวเมืองเมื่อไม่ได้เพื่อออกไปภายนอก ในวันที่ 7 จึงปลง
พระชนม์พระราชาของตนเสีย ได้ถวายราชสมบัติแด่พระราชานั้น. ท้าว
เธอทรงทำกรรมนี้แล้ว ในกาลเป็นที่สิ้นสุดแห่งอายุบังเกิดในอเวจี, ไหม้
แล้วในนรกตราบเท่ามหาปฐพีนี้หนาขึ้นได้ประมาณโยชน์หนึ่ง, จุติจาก
อัตภาพนั้นแล้ว ถือปฏิสนธิในท้องของมารดานั้นนั่นแหละ อยู่ภายในท้อง
สิ้น 7 ปี ยิ่งด้วย 7 เดือน นอนขวางอยู่ที่ปากช่องกำเนิดสิ้น 7 วัน เพราะ
ความที่ตนปิดประตูเล็ก ๆ ทั้งสี่.
ภิกษุทั้งหลาย สีวลีไหม้แล้วในนรกสิ้นกาลประมาณเท่านั้น เพราะ
กรรมที่เธอล้อมพระนครแล้วยึดเอาในกาลนั้น ถือปฏิสนธิในท้องของ
มารดานั้นนั่นแหละ อยู่ในท้องสิ้นกาลประมาณเท่านั้น เพราะความที่เธอ
ปิดประตูเล็ก ๆ ทั้งสี่, เป็นผู้ถึงความเป็นผู้มีลาภเลิศ มียศเลิศ เพราะ
ความที่เธอถวายน้ำผึ้งใหม่ ด้วยประการอย่างนี้.

พวกภิกษุชมเชยบุญของเรวตะ


ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า "แม้สามเณรผู้เดียวทำ

เรือนยอด 500 หลัง เพื่อภิกษุ 500 รูป มีลาภ, มีบุญ. น่าชมจริง,"
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุม
กันด้วยถ้อยคำอะไรหนอ ?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า "ด้วยถ้อยคำ
ชื่อนี้พระเจ้าข้า," ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราไม่มีบุญ, ไม่มีบาป;
(เพราะ) บุญและบาปทั้งสองเธอละเสียแล้ว" ได้ตรัสพระคาถานี้ ใน
พราหมณวรรค ว่า:-
"บุคคลใดในโลกนี้ ล่วงเครื่องข้อง 2 อย่าง
คือบุญและบาป, เราเรียกบุคคลนั้น ผู้ไม่โศก ปราศ-
จากกิเลสเพียงดังธุลี ผู้หมดจดว่า เป็นพราหมณ์."

เรื่องพระขทิรวนิยเรวตเถระ จบ.

10. เรื่องหญิงคนใดคนหนึ่ง [70]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภหญิงคนใด
คนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "รมณียานิ" เป็นต้น.

หญิงนครโสภิณียั่วจิตพระเถระให้หลง


ดังได้สดับมา ภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง เรียนกัมมัฏฐาน
ในสำนักของพระศาสดาแล้ว เข้าไปสู่สวนร้างสวนหนึ่งทำสมณธรรมอยู่.
ครั้งนั้นหญิงนครโสภิณีคนหนึ่ง ทำการนัดแนะกับบุรุษว่า "ฉันจักไปสู่
ที่ชื่อโน้น, เธอพึงมาในที่นั้น" ได้ไปแล้ว. บุรุษนั้นไม่มาแล้ว. นาง
แลดูทางมาของบุรุษนั้นอยู่ไม่เห็นเขา กระสันขึ้นแล้ว จึงเที่ยวไปข้างโน้น
ข้างนี้ เข้าไปสู่สวนนั้นพบพระเถระนั่งคู้บัลลังก์ แลไปข้างโน้นข้างนี้
ไม่เห็นใคร ๆ อื่น คิดว่า "ผู้นี้เป็นเป็นชายเหมือนกัน, เราจักยังจิตของ
ผู้นี้ให้ลุ่มหลง" ยืนอยู่ข้างหน้าของพระเถระนั้น เปลื้องผ้านุ่งแล้ว
(กลับ) นุ่งบ่อย ๆ, สยายผมแล้วเกล้า, ปรบมือแล้วหัวเราะ.
ความสังเวชเกิดขึ้นแก่พระเถระ แผ่ซ่านไปทั่วสรีระ. ท่านคิด
ว่า "นี้เป็นอย่างไรหนอแล ?"

พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่พระเถระ


ฝ่ายพระศาสดาทรงใคร่ครวญว่า " ความเป็นไปของภิกษุผู้เรียน
กัมมัฏฐานจากสำนักของเราไปแล้วด้วยตั้งใจว่า 'จักทำสมณธรรม'