เมนู

พระสารีบุตรอันใคร ๆ ไม่ควรติเตียน


พระศาสดาทรงสดับคำนั้นแล้ว ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ
กล่าวคำชื่ออะไรนั่น ? เราแล ถามว่า 'สารีบุตร เธอเชื่อหรือว่า
ชื่อว่าบุคคลผู้ไม่อบรมอินทรีย์ 5 ไม่เจริญสมถะและวิปัสสนา สามารถ
เพื่อทำมรรคและผลให้แจ้งมีอยู่" สารีบุตรนั้น กล่าวว่า " พระเจ้าข้า
ข้าพระองค์ไม่เชื่อว่า 'ผู้กระทำให้แจ้งอย่างนั้น ชื่อว่ามีอยู่' สารีบุตร
ไม่เชื่อผลวิบาก แห่งทานอันบุคคลถวายแล้ว หรือแห่งกรรมอันบุคคล
กระทำแล้วก็หาไม่; อนึ่ง สารีบุตร ไม่เชื่อคุณของพระรัตนะ 3 มีพระ-
พุทธเจ้าเป็นต้นก็หาไม่; แต่สารีบุตรนั้น ไม่ถึงความเชื่อต่อบุคคลอื่นใน
ธรรมคือ ฌาน วิปัสสนา มรรค และผล อันตนได้เฉพาะแล้ว;
เพราะฉะนั้น สารีบุตรจึงเป็นผู้อันใคร ๆ ไม่ควรติเตียน, เมื่อจะทรงสืบ
อนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
8. อสฺสทฺโธ อกตญญู จ สนฺธิจฺเฉโท จ โย นโร
หตาวกาโส วนฺตาโส ส เว อุตฺตมโปริโส.
"นระใดไม่เชื่อง่าย มีปกติรู้พระนิพพาน อัน
ปัจจัยทำไม่ได้ ตัดที่ต่อ มีโอกาสอันกำจัดแล้ว
มีความหวังอันคายแล้ว นระนั้นแล เป็นบุรุษ
สูงสุด."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺสทฺโธ เป็นต้น พึงทราบวิเคราะห์
ดังนี้ :-

นระ ชื่อว่า อสฺสทฺโธ เพราะอรรถว่า ไม่เธอคุณอันตนแทง
ตลอดแล้ว ด้วยคำของชนเหล่าอื่น, ชื่อว่า อกตญฺญฺ เพราะอรรถว่า
รู้พระนิพพานอันปัจจัยทำไม่ได้แล้ว, อธิบายว่า มีพระนิพพานอันตน
ทำให้แจ้งแล้ว ชื่อว่า สนฺธิจฺเฉโท เพราะอรรถว่า ตัดที่ต่อคือวัฏฏะ
ที่ต่อคือสงสาร ดำรงอยู่ ชื่อว่า หตาวกาโส เพราะอรรถว่า โอกาส
แห่งการบังเกิด ชื่อว่าอันนระกำจัดแล้ว เพราะความที่พืชคือกุศลกรรม
และอกุศลกรรมสิ้นแล้ว. ชื่อว่า วนฺตาโส เพราะอรรถว่า ความหวัง
ทั้งปวง ชื่อว่าอันนระนี้คายแล้ว เพราะความที่กิจอันตนควรทำด้วย
มรรค 4 อันตนทำแล้ว. ก็นระเห็นปานนี้ใด, นระนั้นแล ชื่อว่าผู้สูงสุด
ในบุรุษ เพราะอรรถว่า ถึงความเป็นผู้สูงสุดในบุรุษทั้งหลาย ด้วยความ
ที่แห่งโลกุตรธรรม อันคนแทงตลอดแล้ว.
ในเวลาจบพระคาถา ภิกษุประมาณ 30 รูป ผู้อยู่ป่าเหล่านั้น
บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว. พระธรรมเทศนาได้
มีประโยชน์แม้แก่มหาชนที่เหลือ ดังนี้แล.
เรื่องพระสารีบุตรเถระ จบ.

9. เรื่องพระขทิรวนิยเรวตเถระ [79]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเรวตเถระ
ผู้อยู่ป่าไม้สะแก1 ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "คาเม วา" เป็นต้น.

พระสารีบุตรชวนพี่น้องบวช


ความพิสดารว่า ท่านพระสารีบุตร ละทรัพย์ 87 โกฏิบวชแล้ว
(ชักชวน) น้องสาว 3 คน คือนางจาลา, นางอุปจาลา, นางสีสุปจาลา,
(และ) น้องชาย 2 คนนี้ คือ นายจุนทะ, นายอุปเสนะ, ให้บวชแล้ว.
เรวตกุมารผู้เดียวเท่านั้นยังเหลืออยู่แล้วในบ้าน. ลำดับนั้น มารดาของ
ท่านคิดว่า "อุปติสสะบุตรของเรา ละทรัพย์ประมาณเท่านี้บวชแล้ว
(ยังชักชวน) น้องสาว 3 คน น้องชาย 2 คน ให้บวชด้วย, เรวตะ
ผู้เดียวเท่านั้นยังเหลืออยู่ ถ้าเธอจัก (ชักชวน) เรวตะแม้นี้ให้บวชไซร้,
ทรัพย์ของเราประมาณเท่านี้จักฉิบหาย, วงศ์สกุลจักขาดสูญ เราจักผูก
เรวตะนั้นไว้ ด้วยการอยู่ครองเรือน แต่ในกาลที่เขายังเป็นเด็กเถิด."
ฝ่ายพระสารีบุตรเถระสั่งภิกษุทั้งหลายไว้ก่อนทีเดียวว่า "ผู้มีอายุ
ถ้าเรวตะประสงค์จะบวช มาไซร้, พวกท่านพึงให้เขาผู้มาตรว่ามาถึงเท่านั้น
บวช (เพราะ) มารดาบิดาของผมเป็นมิจฉาทิฏฐิ, ประโยชน์อะไรด้วย
ท่านทั้งสองนั้น อันเรวตะจะบอกลาเล่า ? ผมเองเป็นมารดาและบิดาของ
เรวตะนั้น."
1. ขทิร แปลว่าไม้ตะเคียนก็มี.