เมนู

เมื่อพันธุละนั้นพอถึงจังหวัดปลายแดน, พวกโจรที่พระราชาทรง
แต่งไว้ กล่าวกันว่า " ทราบว่า ท่านเสนาบดีมา" แล้วพากันหลบหนี
ไป.
พันธุลเสนาบดีนั้น ยังประเทศนั้นให้สงบราบคาบแล้ว ก็กลับมา.
ลำดับนั้น ทหารเหล่านั้นก็ตัดศีรษะพันธุลเสนาบดีพร้อมกับบุตรทั้งหมด
ในที่ใกล้พระนคร.

นางมัลลิกาเทวีไม่มีความเสียใจ


วันนั้น นางมัลลิกาเทวี นิมนต์พระอัครสาวกทั้งสองพร้อมทั้ง
ภิกษุ 500 รูป.
ครั้นในเวลาเช้า พวกคนได้นำหนังสือมาให้นาง เนื้อความว่า
"โจรตัดศีรษะสามีพร้อมทั้งบุตรของท่าน." นางรู้เรื่องนั้นแล้ว ไม่บอก
ใคร ๆ พับหนังสือใส่ไว้ในพกผ้า อังคาสภิกษุสงฆ์เรื่อยไป.
ขณะนั้น สาวใช้ของนางถวายภัตแก่ภิกษุแล้ว นำถาดเนยใสมา
ทำถาดแตกตรงหน้าพระเถระ. พระธรรมเสนาบดีกล่าวว่า " สิ่งของมี
อันแตกเป็นธรรมดา ก็แตกไปแล้ว, ใคร ๆ ไม่ควรคิด."
นางมัลลิกานั้น นำเอาหนังสือออกจากพกผ้า เรียนท่านว่า "เขา
นำหนังสือนี้มาให้แก่ดิฉัน เนื้อความว่า 'พวกโจรตัดศีรษะบิดาพร้อม
ด้วยบุตร 32 คน,' ดิฉันแม้สดับเรื่องนี้แล้ว ก็ยังไม่คิด; เมื่อ (เพียง)
ถาดเนยใสแตก ดิฉันจักคิดอย่างไรเล่า ? เจ้าข้า."
พระธรรมเสนาบดีกล่าวคำเป็นต้นว่า :-

"ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ในโลกนี้ ไม่มีนิมิต
ใคร ๆ ก็รู้ไม่ได้ ทั้งฝืดเคือง ทั้งน้อย, และชีวิตนั้น
ซ้ำประกอบด้วยทุกข์."

แสดงธรรมเสร็จแล้ว ลุกจากอาสนะ ได้ไปวิหารแล้ว.
ฝ่ายนางมัลลิกาให้เรียกบุตรสะใภ้ทั้ง 32 คนมาแล้ว สั่งสอนว่า
"สามีของพวกเธอไม่มีความผิด ได้รับผลกรรมในชาติก่อนของตน, เธอ
ทั้งหลายอย่าเศร้าโศก อย่าปริเทวนาการ, อย่าทำการผูกใจแค้นเบื้องบน
พระราชา."
จารบุรุษของพระราชา ฟังถ้อยคำนั้นแล้ว กราบทูลความที่ชน
เหล่านั้นไม่มีโทษแด่พระราชา. พระราชาทรงถึงความสลดพระหฤทัยเสด็จ
ไปนิเวศน์ของนางมัลลิกานั้น ให้นางมัลลิกาและหญิงสะใภ้ของนางอดโทษ
แล้วได้พระราชทานพรแก่นางมัลลิกา. นางกราบทูลว่า "พรจงเป็นพร
อันหม่อมฉันรับไว้เถิด" เมื่อพระราชานั้นเสด็จไปแล้ว, ถวายภัตเพื่อผู้
ตาย อาบน้ำแล้ว เข้าเฝ้าพระราชา ทูลว่า "ขอเดชะ พระองค์พระ-
ราชทานพรแก่หม่อมฉันแล้ว, อนึ่ง หม่อมฉันไม่มีความต้องการด้วยของ
อื่น, ขอพระองค์จงทรงอนุญาตให้ลูกสะใภ้ 32 คนของหม่อมฉัน และ
ตัวหม่อมฉัน กลับไปเรือนแห่งตระกูลเถิด."
พระราชาทรงรับแล้ว. นางมัลลิกาส่งหญิงสะใภ้ 32 คนไปสู่ตระกูล
ของตน ๆ ด้วยตนเอง. ส่วนนางได้ไปสู่เรือนแห่งตระกูลของตนใน
กุสินารานคร.
ฝ่ายพระราชา ได้พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่ทีฆการายนะผู้
ซึ่งเป็นหลานพันธุลเสนาบดี.

ก็ทีฆการายนะนั้น เที่ยวแสวงหาโทษของพระราชาด้วยคิดอยู่ว่า
" ลุงของเรา ถูกพระราชาองค์นี้ ให้ตายแล้ว." ข่าวว่า จำเดิมแต่การ
ที่พันธุละผู้ไม่มีความผิดถูกฆ่าแล้ว พระราชาทรงมีวิปฏิสาร ไม่ได้รับ
ความสบายพระหฤทัย ไม่ได้เสวยความสุขในราชสมบัติเลย.

พระราชาสวรรคต


ครั้งนั้น พระศาสดา ทรงอาศัยนิคมชื่อเมทฬุปะของพวกเจ้าศากยะ
ประทับอยู่. พระราชาเสด็จไปที่นั้นแล้ว ทรงให้ตั้งค่ายในที่ไม่ไกลจาก
พระอารามแล้ว เสด็จไปวิหาร ด้วยบริวารเป็นอันมาก ด้วยทรงดำริว่า
" จักถวายบังคมพระศาสดา" พระราชที่เครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้ง 51
แก่ทีฆการายนะแล้ว พระองค์เดียวเท่านั้น เสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี. พึง
ทราบเรื่องทั้งหมดโดยทำนองแห่งธรรมเจติยสูตร2. เมื่อพระองค์เสด็จเข้า
สู่พระคันธกุฎีแล้ว ทีฆการายนะจึงถือเอาเครื่องราชกกุธภัณฑ์เหล่านั้น ทำ
วิฑูฑภะให้เป็นพระราชา เหลือม้าไว้ตัวหนึ่ง และหญิงผู้เป็นพนักงาน
อุปัฏฐากคนหนึ่ง แล้วได้กลับไปเมืองสาวัตถี.
พระราชาตรัสปิยกถากับพระศาสดาแล้วเสด็จออก ไม่ทรงเห็นเสนา
จึงตรัสถามหญิงนั้น ทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ทรงดำริว่า " เราจักพา
หลานไปจับวิฑูฑภะ" ดังนี้แล้ว เสด็จไปกรุงราชคฤห์ เสด็จถึงพระนคร
เมื่อประตู (พระนคร) อันเขาปิดแล้วในเวลาวิกาล บรรทมแล้วในศาลา
1. เครื่องประดับพระเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดินมี 5 อย่าง คือ 1. แส้จามรี 2. มงกุฏ
3. พระขรรค์ 4. ธาระพระการ 5. ฉลองพระบาท บางแห่งว่า 1. พระขรรค์ 2. เศวตฉัตร
3. มงกุฏ 4. ฉลองพระบาท 5. พัดวาลวิชนี. 2. ม. ม. 13/506.