เมนู

พระศาสดาทรงแสดงอนุปุพพีกถาแล้ว. ในเวลาจบเทศนาพระราชา
พร้อมด้วยบริวาร ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล. ลำดับนั้นชนเหล่านั้น
ทั้งหมด ลุกขึ้นทูลขอบรรพชาแล้ว.
พระศาสดาทรงใคร่ครวญว่า "บาตรจีวรสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ของ
กุลบุตรเหล่านี้ จักมาหรือหนอแล ?" ทรงทราบว่า " กุลบุตรเหล่านี้
ได้ถวายจีวรพันผืน ได้พระปัจเจกพุทธเจ้าพันองค์, ในกาลแห่งพระ-
พุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป ได้ถวายจีวรสองหมื่น แม้แก่ภิกษุสองหมื่นรูป,
ความมาแห่งบาตรและจีวรอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ของกุลบุตรเหล่านี้ ไม่น่า
อัศจรรย์" ดังนี้แล้ว ทรงเหยียดพระหัตถ์ขวา ตรัสว่า " ท่านทั้งหลาย
จงเป็นภิกษุมาเถิด. ท่านทั้งหลายจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุด
ทุกข์โดยชอบเถิด." ทันใดนั้นนั่นเองกุลบุตรเหล่านั้นเป็นราวกะพระเถระ
มีพรรษาตั้ง 100 ทรงบริขาร 8 เหาะขึ้นสู่เวหาส กลับลงมาถวาย
บังคมพระศาสดานั่งอยู่แล้ว.

พระนางอโนชาเทวีเสด็จออกผนวช


ฝ่ายพ่อค้าเหล่านั้นไปสู่ราชตระกูลแล้ว ให้เจ้าหน้าที่กราบทูลข่าวที่
พระราชาทรงส่งไป. เมื่อพระเทวีรับสั่งว่า "จงมาเถิด" เข้าไปถวาย
บังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระเทวีตรัสถาม
พ่อค้าเหล่านั้นว่า " พ่อทั้งหลาย พวกท่านมาเพราะเหตุอะไร ?"
พ่อค้า. พระราชาทรงส่งพวกข้าพระองค์มายังสำนักของพระองค์,
นัยว่า ขอพระราชทานทรัพย์ 3 แสนแก่พวกข้าพระองค์.
พระเทวี. พ่อทั้งหลาย พวกท่านพูดมากเกินไป, พวกท่านทำอะไร

แก่พระราชา. พระราชาทรงเลื่อมใสในอะไรของพวกท่านจึงรับสั่งให้
พระราชทานทรัพย์มีประมาณเท่านี้ ?
พ่อค้า. พระเจ้าข้า อะไรๆ อย่างอื่น พวกข้าพระองค์มิได้ทำ,
แต่พวกข้าพระองค์ได้กราบทูลข่าวแด่พระราชา.
พระเทวี. พ่อทั้งหลาย ก็พวกท่านสามารถบอกแก่เราบ้างได้ไหม ?
พ่อค้า. ได้ พระเจ้าข้า.
พระเทวี. พ่อทั้งหลาย ถ้ากระนั้น พวกท่านจงบอก.
พ่อค้า. พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก.
แม้พระเทวีทรงสดับคำนั้นแล้ว มีพระสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว
โดยนัยก่อนนั่นแล ทรงกำหนดอะไร ๆ ไม่ได้ถึง 3 ครั้ง, ในวาระที่ 4
ทรงสดับบทว่า "พุทฺโธ" แล้วจึงตรัสว่า "พ่อทั้งหลายในเพราะ
บทนี้ พระราชาพระราชานอะไร ?"
พ่อค้า. ทรัพย์แสนหนึ่ง พระเจ้าข้า.
พระเทวี. พ่อทั้งหลาย พระราชาทรงสดับข่าวเห็นปานนี้แล้วพระ-
ราชทานทรัพย์แสนหนึ่งแก่ท่านทั้งหลาย ( ชื่อว่า) ทรงกระทำไม่สมกัน
เลย, แต่เราจะให้แก่พวกท่าน 3 แสน ในเพราะของกำนัลอันขัดสน
ของเรา. ข่าวอะไรอีก ? ที่ท่านทั้งหลายกราบทูลแล้ว.
พ่อค้าเหล่านั้นกราบทูลข่าว 2 อย่าง แม้อื่นอีกว่า "ข่าวอย่าง
นี้ แลอย่างนี้."
พระเทวีมีพระสรีระอันปีติถูกต้องแล้ว โดยนัยก่อนนั้นแล ทรง
กำหนดอะไร ๆ ไม่ได้ถึง 3 ครั้ง, ในครั้งที่ 4 ทรงสดับอย่างนั้นเหมือน
กันแล้ว รับสั่งให้พระราชทานทรัพย์ครั้งละ 3 แสน. พ่อค้าเหล่านั้น

ได้ทรัพย์ทั้งหมดเป็น 12 แสน ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น พระเทวีตรัสถามพ่อค้าเหล่านั้นว่า "พ่อทั้งหลาย พระ-
ราชาเสด็จไปไหน ?"
พ่อค้า. พระเจ้าข้า พระราชารับสั่งว่า "เราจักบวชอุทิศพระ-
ศาสดา" แล้วก็เสด็จไป.
พระเทวี. ข่าวอะไร ? ที่พระองค์พระราชทานแก่เรา.
พ่อค้า. นัยว่า พระองค์ทรงสละความเป็นใหญ่ทั้งหมด ถวาย
พระองค์. นัยว่า พระองค์จงเสวยสมบัติตามพระประสงค์เถิด.
พระเทวี. ก็พวกอำมาตย์ไปไหน ? พ่อ.
พ่อค้า. แม้อำมาตย์เหล่านั้นกล่าวว่า เราจักบวชกับพระราชา
เหมือนกัน' แล้วก็ไป พระเจ้าข้า.
พระนาง รับสั่งให้เรียกภรรยา ของอำมาตย์เหล่านั้นมาและตรัสว่า
"แม่ทั้งหลาย สามีของพวกเจ้า กล่าวว่า 'เราจักบวชกับพระราชา'
แล้วก็ไป, พวกเจ้าจักทำอย่างไร?"
หญิง. พระเจ้าข้า ก็ข่าวอะไร ? ที่พวกเขาส่งมาเพื่อพวกหม่อมฉัน .
พระเทวี. ได้ยินว่า อำมาตย์เหล่านั้น สละสมบัติของตน ๆ แก่
พวกเจ้าแล้ว. ได้ยินว่า พวกเจ้าจงบริโภคสมบัตินั้นตามชอบใจเถิด.
หญิง. ก็พระองค์จักทรงทำอย่างไรเล่า ? พระเจ้าข้า.
พระเทวี แม่ทั้งหลาย ทีแรก พระราชานั้นทรงสดับข่าวแล้ว
ประทับยืนในหนทางเทียว ทรงบูชาพระรัตนตรัยด้วยทรัพย์ 3 แสน
ทรงสละสมบัติดุจก้อนน้ำลาย ตรัสว่า เราจักบวช แล้วเสด็จออกไป;
ส่วนเราได้ฟังข่าวพระรัตนตรัยแล้ว บูชาพระรัตนตรัยด้วยทรัพย์ 9 แสน;

ก็แล ชื่อว่าสมบัตินี้ มิได้นำทุกข์มาแต่พระราชาเท่านั้น. ย่อมเป็นเหตุ
นำทุกข์มา แม้แก่เราเหมือนกัน, ใครจักคุกเข่ารับเอาก้อนน้ำลายที่
พระราชาทรงบ้วนทิ้งแล้วด้วยปากเล่า ? เราไม่ต้องการด้วยสมบัติ, แม้
เราก็จักไปบวชอุทิศพระศาสดา.
หญิง. พระเจ้าข้า แม้พวกหม่อมฉันก็จักบวชกับพระองค์เหมือนกัน
พระเทวี. ถ้าพวกเจ้าอาจ. ก็ดีละแม่.
หญิง. อาจ พระเจ้าข้า.
พระเทวี ตรัสว่า "ถ้ากระนั้น พวกเจ้าจงมา " ดังนี้แล้ว รับสั่ง
ให้เทียมรถพันคัน เสด็จขึ้นรถออกไปกับหญิงเหล่านั้น ทอดพระเนตร
เห็นแม่น้ำสายที่หนึ่งในระหว่างทาง ตรัสถามเหมือนพระราชาตรัสถาม
แล้วเหมือนกัน ทรงสดับความเป็นไปทั้งหมดแล้ว ตรัสว่า " พวกเจ้า
จงตรวจดูทางเสด็จไปของพระราชา เมื่อหญิงเหล่านั้นกราบทูลว่า
" พวกหม่อมฉันไม่เห็นรอยเท้าม้าสินธพ พระเจ้าข้า" ทรงดำริว่า
" พระราชาจักทรงทำสัจจกิริยาว่า ' เราออกบวชอุทิศพระรัตนตรัย"
แล้วเสด็จไป, ถึงเราก็ออกบวชอุทิศพระรัตนตรัย, ด้วยอานุภาพแห่ง
พระรัตนะเหล่านั้นนั่นแล ขอน้ำนี้อย่าได้เป็นเหมือนน้ำเลย " ดังนี้แล้ว
ทรงระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ทรงส่งรถพันคันไป. น้ำได้เป็นเช่นกับ
หลังแผ่นหิน. ปลายเพลาและเกลียวกงแห่งล้อก็ไม่เปียกเลย. พระเทวี
เสด็จข้ามแม่น้ำทั้งสองแม้นอกนี้ไปได้ โดยอุบายนั้นเหมือนกัน.
พระศาสดาทรงทราบความเสด็จมาของพระเทวี ได้ทรงทำโดย
ประการที่ภิกษุทั้งหลาย ผู้นั่งอยู่ในสำนักของพระองค์ ไม่ปรากฏได้.
แม้พระเทวีเสด็จไปอยู่ ๆ ทอดพระเนตรเห็นพระรัศมีพุ่งออกจากพระสรีระ

ของพระศาสดา ทรงดำริอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วเสด็จเข้าไปเฝ้าพระ-
ศาสดา ถวายบังคมแล้ว ประทับยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ทูลถามว่า
" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญพระเจ้ามหากัปปินะ เสด็จออกผนวชอุทิศพระองค์,
ท้าวเธอชะรอยจะเสด็จมาในที่นี้แล้ว, ท้าวเธอประทับอยู่ไหน ? พระองค์
ไม่ทรงแสดงแม้แก่พวกหม่อมฉันบ้าง."
พระศาสดาตรัสว่า "ท่านทั้งหลายจงนั่งก่อน, จักเห็นพระราชา
ในที่นี้เอง." หญิงเหล่านั้นแม้ทุกคน มีจิตยินดี นั่งแล้ว ด้วยคิดว่า
" นัยว่า พวกเรานั่งในที่นี้แหละ จักเห็นพวกสามี."
พระศาสดาตรัสอนุปุพพีกถาแล้ว. ในเวลาจบเทศนา พระนาง
อโนชาเทวี พร้อมทั้งบริวาร บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว.
พระมหากัปปินเถระพร้อมทั้งบริวาร สดับพระธรรมเทศนาที่
พระศาสดาทรงขยายแก่หญิงเหล่านั้นแล้ว ก็ได้บรรลุพระอรหัต พร้อม
ด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย. ในขณะนั้น พระศาสดา ทรงแสดงภิกษุ
เหล่านั้น ผู้บรรลุพระอรหัตแล้ว แก่หญิงเหล่านั้น.
ได้ยินว่า ในขณะที่หญิงเหล่านั้นมานั่นเทียว จิต (ของเขา)
ไม่พึงมีอารมณ์เป็นหนึ่ง เพราะเห็นสามีของตน ๆ ทรงผ้าย้อมน้ำฝาด,
มีศีรษะโล้น เพราะเหตุนั้น หญิงเหล่านั้น จึงไม่พึงอาจเพื่อบรรลุมรรค
ผลได้; เพราะฉะนั้น ในเวลาหญิงเหล่านั้น ตั้งมั่นอยู่ในศรัทธาอันไม่
หวั่นไหวแล้ว พระศาสดาจึงทรงแสดงภิกษุเหล่านั้น ผู้บรรลุพระอรหัต
แล้ว แก่หญิงเหล่านั้น. แม้หญิงเหล่านั้น เห็นภิกษุเหล่านั้นแล้ว
นมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว กล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ กิจบรรพชิต
ของท่านทั้งหลาย ถึงที่สุดก่อน" ดังนี้แล้วถวายบังคมพระศาสดา ยืนอยู่

ณ ส่วนข้างหนึ่ง แล้วทูลขอบรรพชา.
อาจารย์บางพวก กล่าวว่า "ได้ยินว่า เมื่อหญิงเหล่านั้นกราบ
ทูลอย่างนั้นแล้ว. พระศาสดาทรงดำริการมาของพระอุบลวรรณาเถรี."
แต่พระศาสดาตรัสกะอุบาสิกาเหล่านั้นว่า " ท่านทั้งหลายพึงไปสู่
กรุงสาวัตถี บรรพชาในสำนักแห่งภิกษุณีเถิด." อุบาสิกาเหล่านั้น เที่ยว
จาริกไปโดยลำดับ มีสักการะและสัมมานะอันมหาชนนำมาในระหว่างทาง
เดินทางไปด้วยเท้าสิ้นหนทาง 120 โยชน์ บวชในสำนักแห่งนางภิกษุณี
ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว. แม้พระศาสดาก็ได้ทรงพาภิกษุพันรูป เสด็จไป
สู่พระเชตวัน ทางอากาศนั่นแล.
ได้ยินว่า ในภิกษุเหล่านั้น ท่านพระมหากัปปินะเที่ยวเปล่งอุทาน
ในที่ทั้งหลายมีที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันว่า "สุขหนอ สุขหนอ."
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระมหากัปปินะ เที่ยวเปล่งอุทานว่า 'สุขหนอ สุขหนอ,' ท่านเห็น
จะกล่าวปรารภความสุขในราชสมบัติของตน."
พระศาสดารับสั่งให้เรียกพระมหากัปปินะนั้นมาแล้ว ตรัสถามว่า
" กัปปินะ ได้ยินว่า เธอเปล่งอุทานปรารภสุขในกาม สุขในราชสมบัติ
จริงหรือ ?"
พระมหากัปปินะทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ย่อมทรงทราบ การเปล่งหรือไม่เปล่งปรารภกามสุขและรัชสุขนั้นของ
ข้าพระองค์"
พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราย่อมเปล่งอุทาน
ปรารภสุขในกาม สุขในราชสมบัติ หามิได้, ก็แต่ว่า ความเอิบอิ่มใน

ธรรม ย่อมเกิดขึ้นแก่บุตรของเรา. บุตรของเรานั้นย่อมเปล่งอุทาน
อย่างนั้น เพราะปรารภอมตมหานิพพาน" ดังนี้แล้วเมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ
แสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
4. ธมฺมปีติ สุขํ เสติ วิปฺปสนฺเนน เจตสา
อริยปฺปเวทิเต ธมฺเม สทา รมติ ปณฺฑิโต.
"บุคคลผู้เอิบอิ่มในธรรม มีใจผ่องใส ย่อมอยู่
เป็นสุข, บัณฑิตย่อมยินดีในธรรมที่พระอริยเจ้า
ประกาศแล้วทุกเมื่อ."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมปีติ ความว่า ผู้เอิบอิ่มในธรรม
อธิบายว่า ผู้ดื่มธรรม. ก็ชื่อพระธรรมนี่ อันใคร ๆ ไม่อาจเพื่อจะดื่ม
ได้ เหมือนดื่มข้าวยาคูเป็นต้น ด้วยภาชนะฉะนั้น. ก็บุคคลถูกต้อง
โลกุตรธรรม 9 อย่าง ด้วยนามกาย ทำให้แจ้งโดยความเป็นอารมณ์
แทงตลอดอริยสัจมีทุกข์เป็นต้น ด้วยกิจมีการบรรลุธรรมด้วยความกำหนด
รู้เป็นต้น ชื่อว่าย่อมดื่มธรรม.
คำว่า สุขํ เสติ นี้ สักว่าเป็นหัวข้อเทศนา. อธิบายว่า ย่อม
อยู่เป็นสุข แม้ด้วยอิริยาบถ 4.
บทว่า วิปฺปสนฺเนน คือไม่ขุ่นมัว ได้แก่ ไม่มีอุปกิเลส.
บทว่า อริยปฺปเวทิเต ความว่า ในโพธิปักขิยธรรม อันต่างด้วย
สติปัฏฐานเป็นต้น อันพระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
ประกาศแล้ว.