เมนู

พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว." จึงตรัสว่า "พ่อทั้งหลาย เราให้ทรัพย์
แก่พวกท่านแสนหนึ่ง " แล้วตรัสถามว่า "ข่าวอะไร ๆ แม้อื่นอีก มี
อยู่หรือ ? พ่อ." พวกพ่อค้ากราบทูลว่า " มีอยู่ พระเจ้าข้า, พระธรรม
อุบัติขึ้นแล้ว." พระราชาทรงสดับแม้คำนั้นแล้ว ทรงยับยังอยู่ตลอด 3
วาระโดยนัยก่อนนั่นแล. ในวาระที่ 4 เมื่อพวกพ่อค้ากราบทูลบทว่า
" ธมฺโม " จึงตรัสว่า "แม้ในเพราะบทนี้ เราให้ทรัพย์แก่พวกท่าน
แสนหนึ่ง " แล้วตรัสถามว่า " ข่าวแม้อื่นอีก มีอยู่หรือ ? พ่อ." พวก
พ่อค้ากราบทูลว่า " พระเจ้าข้า มีอยู่, พระสังฆรัตนะอุบัติขึ้นแล้ว."
พระราชาทรงสดับแม้คำนั้นแล้วทรงยับยั้งอยู่ตลอด 3 วาระอย่างนั้นเหมือน
กัน, ในวาระที่ 4 เมื่อพวกพ่อค้ากราบทูลบทว่า " สงฺโฆ " จึงตรัสว่า
" แม้ในเพราะบทนี้ เราให้ทรัพย์แก่พวกท่านแสนหนึ่ง " แล้วทรงแลดู
อำมาตย์พ้นหนึ่งตรัสถามว่า "พ่อทั้งหลาย พวกท่านจักทำอย่างไร ?"
อำมาตย์. พระเจ้าข้า พระองค์จักทรงทำอย่างไรเล่า ?
พระราชา. พ่อทั้งหลาย เราได้สดับว่า ' พระพุทธเจ้าทรงอุบัติ
ขึ้นแล้ว, พระธรรมอุบัติขึ้นแล้ว, พระสงฆ์อุบัติขึ้นแล้ว จักไม่กลับ
อีก, เราจักอุทิศต่อพระศาสดาไปบวชในสำนักของพระองค์.
อำมาตย์. แม้ข้าพระองค์ทั้งหลาย ก็จักบวชพร้อมด้วยพระองค์
พระเจ้าข้า.

พระราชาออกผนวชพร้อมกับอำมาตย์


พระราชารับสั่งให้เจ้าพนักงานอาลักษณ์จารึกอักษรลงในแผ่นทอง
แล้ว ตรัสกะพวกพ่อค้าว่า "พระเทวีพระนามว่าอโนชา จักพระราช-

ทานทรัพย์ 3 แสนแก่พวกท่าน; ก็แลพวกท่านพึงทูลอย่างนี้ว่า 'ได้
ยินว่า พระราชาทรงสละความเป็นใหญ่ถวายพระองค์แล้ว, พระองค์จง
เสวยสมบัติตามสบายเถิด; ก็ถ้าพระเทวีจักตรัสถามพวกท่านว่า 'พระราชา
เสด็จไปที่ไหน ?" พวกท่านพึงทูลว่า 'พระราชาตรัสว่าจักบวชอุทิศ
พระศาสดา" แล้วก็เสด็จไป
แม้อำมาตย์ทั้งหลายก็ส่งข่าวไปแก่ภรรยาของตน ๆ อย่างนั้นเหมือน
กัน. พระราชาทรงส่งพวกพ่อค้าไปแล้ว อันอำมาตย์พันหนึ่งแวดล้อม
เสด็จออกไปในขณะนั้นนั่นแล.
ในวันนั้น แม้พระศาสดาเมื่อทรงตรวจดูสัตวโลกในกาลใกล้รุ่ง
ได้ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้ามหากัปปินะพร้อมทั้งบริวาร ทรงดำริว่า
" พระเจ้ามหากัปปินะนี้ ได้ทรงสดับความที่รัตนะ 3 อุบัติขึ้นแต่สำนัก
ของพวกพ่อค้าแล้ว ทรงบูชาคำของพ่อค้าเหล่านั้นด้วยทรัพย์ 3 แสน
ทรงสละราชสมบัติ อันอำมาตย์พันหนึ่งแวดล้อม ทรงประสงค์เพื่อจะ
ผนวช อุทิศเรา จักเสด็จออกไปในวันพรุ่งนี้, ท้าวเธอพร้อมทั้งบริวาร
จักบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย, เราจักทำการต้อนรับ
ท้าวเธอ" ดังนี้แล้ว ในวันรุ่งขึ้น ทรงบาตรและจีวรด้วยพระองค์เอง
ทีเดียว เสด็จต้อนรับสิ้นทาง 120 โยชน์ ดุจพระเจ้าจักรพรรดิทรง
ต้อนรับกำนันฉะนั้น ประทับนั่งเปล่งพระรัศมี มีวรรณะ 6 ภายใต้โคน
ต้นนิโครธริมฝั่งแม่น้ำจันทภาคานที.
ฝ่ายพระราชาเสด็จมาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่งแล้ว ตรัสถามว่า "นี่ชื่อ
แม่น้ำอะไร ?"

อำมาตย์. ชื่ออารวปัจฉานที พระเจ้าข้า.
พระราชา. พ่อทั้งหลาย แม่น้ำนี้ประมาณเท่าไร ?
อำมาตย์. โดยลึก คาวุตหนึ่ง, โดยกว้าง 2 คาวุต พระเจ้าข้า.
พระราชา. ก็ในแม่น้ำนี้ เรือหรือแพมีไหม ?
อำมาตย์. ไม่มี พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสว่า " เมื่อเราทั้งหลายมัวหายานมีเรือเป็นต้น, ชาติ
ย่อมนำไปสู่ชรา, ชราย่อมนำไปสู่มรณะ, เราไม่มีความสงสัย ออกบวช
อุทิศพระรัตนตรัย. ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัยนั้น น้ำนี้ อย่าได้
เป็นเหมือนน้ำเลย" ดังนี้แล้ว ทรงระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ระลึกถึง
พุทธานุสสติว่า " แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" เป็นต้น พร้อมทั้งบริวารเสด็จไปบน
หลังน้ำด้วยม้าพันหนึ่ง. ม้าสินธพทั้งหลายก็วิ่งไป ดุจวิ่งไปบนหลังแผ่น
หิน. ปลายกีบก็ไม่เปียก.1
พระราชาเสด็จข้ามแม่น้ำแล้ว เสด็จไปข้างหน้า ทอดพระเนตร
เห็นแม่น้ำอื่นอีก จึงตรัสถามว่า "แม่น้ำนี้ชื่ออะไร ?"
อำมาตย์. ชื่อนีลวาหนานที พระเจ้าข้า.
พระราชา. แม่น้ำนี้ประมาณเท่าไร ?"
อำมาตย์. ทั้งส่วนลึก ทั้งส่วนกว้าง ประมาณกึ่งโยชน์พระเจ้าข้า.
คำที่เหลือก็เช่นกับคำก่อนนั้นแล.
ก็พระราชา ทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำนั้นแล้ว ทรงระลึกถึงธรรมา-
นุสสติว่า "พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว" เป็นต้นเสด็จไป
1. ถ้าบาลีเป็น อคฺคาเนว เตมึสุ ก็แปลว่า ปลายกีบเท่านั้น เปียกน้ำ.

แล้ว. ครั้นเสด็จข้ามแม่น้ำแม่นั้นไปได้แล้ว ทอดพระเนตรเห็นแม้แม่น้ำ
อื่นอีก จึงตรัสถามว่า "แม่น้ำนี้ชื่ออะไร ?"
อำมาตย์. แม่น่านี้ชื่อว่าจันทภาคานที พระเจ้าข้า.
พระราชา. แม่น้ำนี้ประมาณเท่าไร ?
อำมาตย์. ทั้งส่วนลึก ทั้งส่วนกว้าง ประมาณโยชน์หนึ่ง พระ-
เจ้าข้า.
คำที่เหลือก็เหมือนกับคำก่อนนั่นแล.
ส่วนพระราชาทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำนี้แล้ว ทรงระลึกถึงสังฆา-
นุสสติว่า "พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว"
เป็นต้น เสด็จไปแล้ว. ก็เมื่อเสด็จข้ามแม่น้ำนั้นไป ได้ทอดพระเนตร
เห็นพระรัศมีมีวรรณะ 6 แต่พระสรีระของพระศาสดา. กิ่งค่าคบ และใบ
แห่งต้นนิโครธ ได้เป็นราวกะว่าสำเร็จด้วยทองคำ.

พระราชาและอำมาตย์ได้บรรลุคุณวิเศษ


พระราชาทรงดำริว่า " แสงสว่างนี้ ไม่ใช่แสงจันทร์, ไม่ใช่แสง
อาทิตย์, ไม่ใช่แสงสว่างแห่งเทวดา มาร พรหม นาค ครุฑเป็นต้น
ผู้ใดผู้หนึ่ง เราอุทิศพระศาสดามาอยู่ จักเป็นผู้อันพระมหาโคดมพุทธเจ้า
ทรงเห็นแล้วโดยแน่แท้." ในทันใดนั้นนั่นแล ท้าวเธอเสด็จลงจาก
หลังม้าทรงน้อมพระสรีระ เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ตามสายพระรัศมี เสด็จ
เข้าไปภายในแห่งพระพุทธรัศมี ราวกะว่าดำลงไปในมโนสิลารส ถวาย
บังคมพระศาสดาแล้ว ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งพร้อมกับอำมาตย์
พันหนึ่ง